ศาสตร์ต้องห้าม

ศาสตร์ต้องห้าม
Owen Jones
เฮง ลี เริ่มรู้สึกแปลก ๆ สำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นเอง เขาจึงได้ไปหารือกับหมอผีในพื้นที่ ซึ่งก็คือป้าของเขานั่นเอง เธอทำการทดสอบสองสามครั้ง และพิจารณาแล้วว่าเฮงไม่มีเลือด แต่เขาก็ไม่รู้จะบอกกับครอบครัวว่ายังไงดี และพวกเขาจะทำยังไงกันต่อไป
เฮง ลี เป็นคนเลี้ยงแพะซึ่งอยู่ในพื้นที่ภูเขาที่ห่างไกลออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงรายในประเทศไทย ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนประเทศลาว เป็นชุมชนที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และทุกคนต่างก็รู้จักกันหมด เฮงเกิดป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่ได้หนักหนาถึงขั้นเลี้ยงแพะไม่ได้เอาเสียเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเขาต้องไปหาหมอผีประจำชุมชน เพราะเขาเองเริ่มมีอาการวูบขึ้นมา ซึ่งไม่มีหมอในบริเวณใกล้เคียงเลย และแค่หมอผีก็ถือว่าดีเพียงพอแล้วสำหรับคนส่วนมากมาหลายศตวรรษแล้ว ซึ่งหมอผีก็ได้เก็บตัวอย่างบางส่วนของเขา และได้ข้อสรุปว่าไตของเฮงได้หยุดทำงาน และมีเวลาเหลือน้อยเต็มทีในการมีชีวิตอยู่ การต่อสู้เริ่มขึ้นเพื่อรักษาชีวิตนายเฮง แต่ก็มีอำนาจแฝงบางอย่างที่กำลังทำงานอยู่เช่นเดียวกัน อะไรจะเกิดขึ้นกับเฮง ครอบครัว และคนในชุมชนบ้าง หากเขาทำตามคำแนะนำของหมอผี



1 ศาสตร์ต้องห้าม

เรื่องเล่าชวนหัวของครอบครัวแวมไพร์ร่วมสมัย

โดย

1 โอเวน โจนส์
2 (Owen Jones)


1 หัสยา สันติ

สงวนลิขสิทธิ์โดย โอเวน โจนส์ (Owen Jones) ในวันที่ 21 มกราคม 2564

เป็นลิขสิทธิ์ของ โอเวน โจนส์ ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้เขียนงานนี้ได้รับการยืนยันตามมาตรา 77 และ 78 ของพระราชบัญญัติการออกแบบ และสิทธิบัตรลิขสิทธิ์ปี 2541 สิทธิโดยชอบธรรมของผู้เขียนได้รับการยืนยันแล้ว
ในผลงานนวนิยายเรื่องนี้ ตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ มาจากจินตนาการของผู้แต่ง หรือใช้ในเชิงการสมมุติขึ้นมาทั้งหมด บางสถานที่อาจมีอยู่จริง แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาเองทั้งหมด
ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Megan Publishing Services

คำกล่าวอุทิศ
หนังสือเล่มนี้ขออุทิศให้เพื่อนของฉัน ได้แก่ ลอร์ด เดวิด พรอสเซอร์ (Lord David Prosser) และ เมอร์เรย์ บรอมลีย์ (Murray Bromley) ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ และครอบครัวชาวไทยของฉันที่ได้ทำให้ทุกอย่างเป็นจริงมากกว่าที่คาดหวังไว้ในปี 2556
กรรมจะตอบแทนทุกคนด้วยเมตตา
ติดต่อ:
http://facebook.com/angunjones (http://facebook.com/angunjones)
http://twitter.com/lekwilliams (http://twitter.com/lekwilliams)
owen@behind-the-smile.org (mailto:owen@behind-the-smile.org)
http://owencerijones.com (http://owencerijones.com/)

เข้าร่วมกับเราเพื่อรับข่าวสารสำหรับข้อมูลภายใน
เกี่ยวกับหนังสือและงานเขียนของ โอเวน โจนส์ (Owen Jones)
โดยส่งอีเมลมาที่:

http://meganthemisconception.com (http://meganthemisconception.com/)

1 1 นายลีกับสถาณการณ์ลำบาก
นายลี หรือตาเฒ่าลี คนในชุมชนรู้กันทั่วว่าเขามีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้นมาร่วมอาทิตย์แล้วนั้น เพราะว่ามันเป็นเพียงชุมชนเล็ก ๆ และอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงทำให้ทุกคนในละแวกนั้นรู้กันไปทั่ว เขาเสาะหาคำแนะนำจากหมอในพื้นที่ ซึ่งก็เป็นหมอเก่าแก่คนหนึ่งที่ไม่ใช่หมอสมัยใหม่ และเธอได้บอกกับลีว่าอุณหภูมิในร่างกายของเขานั้นไม่คงที่ เพราะมีบางอย่างส่งผลต่อระบบเลือดของเขา
เธอคนนั้นก็คือ หมอผีประจำชุมชน ป้าของนายลีนั่นเอง ตามความเป็นจริงแล้วก็ยังไม่แน่นอนว่านั่นคือสาเหตุของอาการหรือไม่ แต่เธอก็ให้สัญญาว่าเธอจะทราบถึงสาเหตุได้ในอีกไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่นอน หากลีทิ้งบางสิ่งสักสองอย่างไว้ให้เธอศึกษา และกลับมาฟังผลหลังจากนั้น หมอผีส่งกอตะไคร้น้ำ และก้อนหินให้นายลี
เขารู้ว่าต้องทำยังไง เพราะว่าเขาเคยทำมันมาก่อนหน้านั้น ดังนั้นเขาจึงปัสสาวะรดลงบนกอตะไคร้น้ำ และบ้วนน้ำลายพร้อมขากเสมหะลงบนก้อนหิน เขาส่งมันกลับไปให้เธอด้วยสีหน้าจริงจัง และระวังไม่ให้ของเหล่านั้นสัมผัสลงบนมือเปล่าของหมอผี เธอได้ห่อมันไว้ด้วยใบตองเพื่อรักษาความชื้นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ ใช้เวลาสักวันนะ เพื่อให้มันเน่าเปื่อยและแห้งลง แล้วฉันจะดูให้แน่ใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้าง”
“ขอบคุณครับ ป้าดา ผมหมายถึง ท่านหมอผีดา ผมจะรอคำตอบจากป้า และจะกลับมาใหม่ให้เร็วที่สุดเมื่อป้าเรียกพบ
“เธอรออยู่ที่นั่นล่ะ พ่อหนุ่ม พิธียังไม่เสร็จหรอก”
ดาเอื้อมมือไปด้านหลัง แล้วหยิบโถดินเผามาจากชั้นวาง เธอเปิดมันออกมาและหยิบเข้าปากสองคำ แล้วพ่นคำสุดท้ายใส่ตัวตาเฒ่าลี ในขณะที่ป้าดาท่องมนต์เพื่อเสกเป่าต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่นั้น นายลีคิดว่าเธอลืมที่จะชะล้างทำความสะอาด เขาไม่ชอบเลยกับการถูกพ่นน้ำลายใส่จากใครก็ตาม และโดยเฉพาะหญิงแก่ที่ฟันผุ
“นั่นสเปรย์แอลกอฮอล์ และคำอธิษฐานจะหลั่งไหลเข้ามามากพอจนกระทั่งเราจะสามารถหาความกระจ่างให้เธอได้” เธอให้คำมั่น
หมอผีดาลุกขึ้นจากจุดตำแหน่งรูปดอกบัวที่อยู่บนพื้นในสถานที่รักษาของเธอ แล้ววางมือบนบ่าของหลานชาย และเดินออกไปข้างนอกพร้อมเขา พันมวนยาเส้นขณะที่พวกเขาเดินออกไป
เมื่อออกไปด้านนอก เธอได้จุดมวนยาเส้น และอัดควันเข้าจนเต็มปอด “ภรรยาและลูก ๆ ที่น่ารักของเธอเป็นอย่างไรบ้าง”
“โอ้ พวกเขาสบายดี ป้าดา แต่ก็มีความกังวลเล็กน้อยเรื่องสุขภาพของผม ผมรู้สึกแย่มาสักพักแล้ว และผมไม่เคยป่วยเลยทั้งชีวิต อย่างที่ป้ารู้นั่นแหละ”
“ไม่หรอก ลี พวกเราเป็นคนแข็งแรงมากเลยนะ พ่อของเธอ น้องชายที่รักของฉัน จะยังแข็งแรงอยู่ตอนนี้นะ ถ้ายังไม่ตายเพราะไข้หวัดใหญ่ไปเสียก่อน แข็งแรงราวกับควายถึกอย่างที่เป็น เธอก็เจริญรอยตามแบบนั้น แต่เขาก็ไม่เคยถูกยิงตายนะ ฉันคิดว่า สิ่งที่เธอจมปลักอยู่นั่นก็คือ กระสุนของพวกแยงกี้
นายลีผ่านเรื่องราวนั้นมากว่าหลายร้อยครั้ง ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจโต้เถียงได้ ดังนั้นเขาแค่พยักหน้ายอมรับ ส่งเงินให้ป้าไปห้าสิบบาท และกลับบ้านไปที่สวนของเขา ซึ่งไกลออกไปแค่สองสามร้อยหลาแค่นั้นเอง
เขารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยายามเดินอย่างกระฉับกระเฉงเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น
ตาเฒ่าลีเชื่อถือป้าดาคนเก่าคนแก่ของเขาเป็นอย่างมาก อย่างที่ทุกคนในชุมชนเชื่อถือกัน ซึ่งมันก็เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีแค่ห้าร้อยหลังคาเรือน และสวนนอกหมู่บ้านอีกไม่กี่สิบแห่ง ป้าดาเป็นหมอผีของหมู่บ้านมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก และก่อนหน้านั้นมีอีกแค่สิบกว่าคน เท่าที่เขาจำความได้ ซึ่งพวกเขาไม่มีใบปริญญาทางการแพทย์ใด ๆ
นั่นไม่ได้หมายความว่าคนในชุมชนไม่สามารถเข้าถึงหมอได้ ซึ่งก็มีหมอประจำอยู่บ้างในตัวเมืองซึ่งอยู่ไกลออกไปราวเจ็ดสิบห้ากิโลเมตร และไม่มีรถโดยสาร แท็กซี่ หรือรถไฟเข้าไปยังภูเขาที่พวกเขาอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนสุดของประเทศไทยได้ นอกจากนั้น ค่าหมอก็แสนแพง และการสั่งจ่ายยาก็มีราคาแพง ซึ่งทุกคนคิดว่าพวกเขาได้รับค่าคอมมิชชั่นที่สูงทีเดียว ไกลออกไปในหมู่บ้านอื่น ยังมีคลีนิคอีกสองสามแห่ง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่พยาบาลและหมอเวียนนอกที่ทำงานอยู่ที่นั่นเพียงแค่วันเดียวในสองอาทิตย์เท่านั้น
ชาวบ้านเองก็คิดในแบบเดียวกันกับนายลีว่า บางทีพวกเขาน่าจะเหมาะกับคนรวยในเมืองซะมากกว่า แต่ว่าก็ไม่ได้ใช้บริการมากมายอะไรกับพวกเขานัก
ชาวนาจะหยุดงานทั้งวันได้อย่างไร และเช่ารถรับจ้างเพื่อไปหาหมอในเมืองอย่างนั้นหรือ แม้ว่าคุณจะสามารถหาใครสักคนที่มีรถได้ก็ตาม ถึงจะมีรถแทรกเตอร์เก่าอยู่แค่ไม่กี่คันในระยะสิบกิโลเมตรนี้
ไม่หรอกน่า เขาคิดว่าป้าแก่ของเขาอาจไม่ได้ดิบดีอะไรในสายตาคนอื่น แต่เธอก็ดีมากพอสำหรับเขา และนอกจากนั้นเธอก็ไม่เคยปล่อยให้ใครตายหากมันยังไม่ถึงเวลา และเธอก็ไม่เคยฆ่าใครอย่างแน่นอน ทุกคนทราบกันดีกับสิ่งเหล่านั้น ทุกคนทราบกันดี
นายลีรู้สึกภูมิใจในตัวป้าของเขามาก และอย่างไรก็ดีไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสำหรับระยะทางหลายกิโลในละแวกนี้ และแน่นอนว่าไม่มีใครที่มีประสบการณ์ทั้งหมดนี้เท่าเธอ ทั้งหมดนี้… ใช่หรือไม่ จริงอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าอายุที่แท้จริงของเธอ ไม่แม้แต่ตัวเธอเอง แต่ถึงวันนี้อาจจะเก้าสิบปีแล้ว
นายลีเดินออกมาสนามหญ้าหน้าบ้านพร้อมกับมีความคิดเหล่านี้อยู่ภายใน เขาอยากจะคุยเรื่องนี้กับภรรยาของเขา เพราะถึงแม้เขามีฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวในสายตาคนภายนอกเฉกเช่นเดียวกันกับครอบครัวอื่น มันก็เป็นเพียงการแสดงออกภายนอก เพราะว่าในความเป็นจริงทุกการตัดสินใจมาจากทุกคนในครอบครัว หรืออย่างน้อยโดยรวมก็มาจากคนที่เป็นผู้ใหญ่
นี่จะเป็นวันสำคัญ เพราะลีไม่เคยมีวิกฤตเกิดขึ้นในชีวิตแบบนี้มาก่อน และลูกทั้งสองของพวกเขาซึ่งจะไม่ได้เป็นเด็กแบบนี้ตลอดไป ก็จะต้องได้รับอนุญาตให้พูดคุยด้วยเช่นกัน ประวัติศาสตร์กำลังจะถูกสร้างขึ้น และนายลีก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี
“มัด!” เขาเรียกชื่อนี้กับภรรยาผู้เป็นที่รักของเขาตั้งแต่มีลูกคนหัวปีครั้นยังไม่สามารถพูดคำว่า ‘แม่’ ได้เลย “มัด อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”
ใช่ ฉันออกมาหลังบ้าน”
ลีรอเธอออกมาจากห้องน้ำสักครู่ แต่เพราะในบ้านอากาศร้อน และอบอ้าวเขาจึงกลับออกไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน และนั่งที่โต๊ะขนาดใหญ่ของครอบครัวที่มีหลังคามุงจาก ซึ่งทั้งครอบครัวเอาไว้รับประทานอาหาร และจะมานั่งที่นี่เสมอหากพวกเขามีเวลาว่าง
คูณนายลีมีชื่อจริงว่า “วรรณ” แม้ว่าสามีสุดที่รักจะเรียกเธอว่า “มัด” ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ลูกชายคนโตเรียกแม่ได้นั่นแหละ ชื่อนี้ถูกเรียกติดปากนายลีมาตลอด แต่พวกลูก ๆ เองก็ไม่ได้เรียกแบบนั้น เธอมาจากหมู่บ้านชื่อว่า “บ้านน้อย” บ้านเดียวกับลี แต่ครอบครัวของเธอทราบกันว่ามาจากที่อื่นแล้วมาอาศัยอยู่ที่นี่ ขณะที่ครอบครัวของนายลีอพยพมาจากประเทศจีนกว่าสองชั่วอายุคนมาแล้ว อย่างไรก็ตามบ้านเกิดของทั้งสองนั้นอยู่ไม่ไกลกัน
เธอก็เป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งในพื้นที่ ในวัยเด็ก เธอเองเป็นเด็กน่ารัก แต่ในสมัยนั้นเด็กผู้หญิงไม่ได้รับโอกาสมากนัก และพวกเขาก็ไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีความปรารถนา ไม่ใช่ว่าสิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปมากสำหรับลูกสาวของเธอ แม้ว่ามันผ่านมาถึงยี่สิบปีมาแล้ว
คุณนายลีมีความพอใจที่จะหาสามีหลังจากออกจากโรงเรียน ดังนั้นเมื่อเฮง ลีขอแต่งงาน และให้ค่าทำขวัญที่เขามีอยู่ในธนาคารแก่พ่อแม่เธอ เธอจึงคิดว่าเขาน่าจะดีพอ ๆ กับเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ ในท้องถิ่นที่เธอน่าจะได้รับแบบเดียวกัน เธอไม่ได้มีความปรารถนาที่ต้อ
จากเพื่อน ไปที่อื่น
และสัมพันธภาพต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วมุ่งสู่เมืองใหญ่เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง
เธอได้รักกับเฮง ลีจากการตัดสินใจของตัวเอง แม้ว่าดวงไฟแห่งความรักมันจะมอดลงนานมากแล้วกับชีวิตรักในช่วงระยะเวลาอันสั้น และเธอเป็นมากกว่าหุ้นส่วนทางธุรกิจซึ่งมันมากกว่าการเป็นภรรยาในครอบครัวซึ่งอุทิศชีวิตอย่างแน่วแน่ในการใช้ชีวิตร่วมกัน และเพื่อลูก ๆ ของพวกเขา
วรรณไม่เคยพยายามแสวงหาคนรัก แม้ว่าเธอถูกยื่นข้อเสนอทั้งสองอย่างนี้มาทั้งก่อนและหลังจากชีวิตแต่งงานของเธอ ในเวลานั้นเธอโมโหมาก แต่ตอนนี้เธอมองย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นด้วยความอ่อนโยน ลีเป็นคนแรกและคนเดียวของเธอ และตอนนี้ แน่นอนก็คงเป็นคนสุดท้าย แต่เธอไม่เคยเสียใจกับเรื่องนั้นเลย
ความฝันเพียงอย่างเดียวของเธอก็คือ ได้เฝ้ามองและดูแลหลาน ๆ ที่ลูก ๆ ของเธอก็ต้องการในเวลาที่พร้อม แต่เธอไม่ได้ต้องการให้พวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสาวของเธอให้ต้องรีบแต่งงานเหมือนเธอ เธอรู้ว่าลูก ๆ ของเธอจะต้องมีลูกอย่างแน่นอนเหมือนวิถีของไข่ แบบเดียวกันกับไข่ หากพวกเขาสามารถทำได้ เพราะเป็นทางเดียวที่จะสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตนเองในวัยชรา และมีโอกาสพัฒนาสถานะทางครอบครัว
คุณนายลีสนใจเรื่องครอบครัว ฐานะ และเกียรติยศอย่างมาก แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้ต้องการวัตถุมากไปกว่าที่มีอยู่ เธอเรียนรู้โดยใช้เวลาไม่นานนัก จนสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญสำหรับเธออีกต่อไป
เธอมีโทรศัพท์มือถือ และโทรทัศน์อยู่แล้ว แต่สัญญาณแย่มากที่เล็กน้อยมากที่จะบ่น และก็ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้นอกจากเฝ้ารอให้รัฐบาลดำเนินการปรับปรุงเครื่องส่งสัญญาณในพื้นที่ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันหนึ่งแน่นอน หรือไม่ก็เร็ว ๆ นี้ เธอไม่ได้ต้องการรถ เพราะเธอไม่อยากไปไหนทั้งนั้น และนอกจากนี้ถนนไม่ได้ดีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม มันไม่เพียงแค่ผู้คนในช่วงอายุของเธอ และคิดว่ารถหนึ่งคันกว่าจะเข้าจอดในสถานีนั้นช่างนานเหลือเกินจนพวกเขาไม่พึงปรารถนามาหลายสิบปีก่อน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เธอพอใจกับรถจักรยานและรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่ใช้เป็นพาหนะในครัวเรือน
คุณนายลีก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะใส่ทอง หรือเสื้อผ้าแฟชั่นอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากต้องดูแลเลี้ยงดูลูกสองคนด้วยค่าแรงของอาชีพชาวนาหลายปีมาแล้วเช่นกัน ถึงแม้ว่าทั้งหมดนั้น คุณนายลีเป็นผู้หญิงที่มีความสุขซึ่งรักครอบครัวเป็นอย่างมาก และยินดีที่จะอยู่ตามที่เธอเป็น และที่เธออยู่ จนกว่าพระพุทธเจ้าเรียกตัวเธอกลับบ้านเก่าอีกครั้งในวันหนึ่ง
นายลีเฝ้าดูภรรยาของเขาที่กำลังเดินมาหาเขา เธอกำลังปรับอะไรบางอย่างภายใต้ผ้าถุงของเธอจากด้านนอก มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาควรสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เธอนั่งบนขอบโต๊ะ แล้วสะบัดขาขึ้นนั่งเหมือนนางเงือกบนโขดหินในเดนมาร์ก
“โอเค ยายเฒ่าจะพูดอะไร”
“โอ้ มานี่สิ มัด เธอไม่ได้แย่ขนาดนั้น! โอเค เธอกับเขาเข้ากันได้ดี แต่นั่นเป็นเพียงบางครั้งใช่หรือไม่ เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับเธอ แล้วทำไมเมื่อสามสิบนาทีที่ผ่านมาเขาถึงพูดเรื่องสุขภาพของเธอ…และเรื่องลูก”
“บางครั้งเธอก็โง่เหมือนกันนะเฮง เธอพูดกับฉันและเกี่ยวกับฉันอย่างดีหากมีคนรอบ ๆ ตัวได้ยิน แต่เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่ลำพัง เธอจะปฏิบัติกับฉันเหมือนขี้โคลน และทำมาตลอด เธอเกลียดฉัน แต่เธอก็กลบเกลื่อนไม่ให้ใครรู้ เพราะเขารู้ว่าเธอจะเข้าข้างฉัน ซึ่งไม่ใช่ตัวเธอ คุณผู้ชาย เขาคิดว่าตัวเองรอบรู้งั้นหรือ แต่เธอไม่เคยรู้ว่ามีเกิดอะไรขึ้นภายใต้จมูกของเธอเอง
“เธอกล่าวหาฉันสารพัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหลายครั้งด้วยเช่นกัน…เช่น ไม่รักษาบ้านให้สะอาด ไม่ซักผ้าให้เด็ก ๆ และมีครั้งหนึ่งเธอยังบอกอีกว่าอาหารของฉันมีกลิ่นเหมือนฉันใช้ขี้แพะมาทำอาหาร!
“บ๊ะ เธอไม่เคยมองอีกมุมหนึ่งเลย แต่เธอก็ไม่เชื่อในตัวฉันด้วย เธอทำแบบนั้นกับภรรยาของตัวเองตัวเองใช่มไหม ใช่ เธออาจยิ้มได้นะ แต่มันไม่ตลกเลยสำหรับฉัน สามสิบปีมาแล้วให้ฉันพูดบ้างนะ ไม่เป็นไร มันเป็นอะไรที่เธอต้องพูด”
“ไม่มีอะไรจริง ๆ นั่นเป็นเพียงการตรวจสุขภาพ ดังนั้นมันจึงเป็นกิจวัตรเดิม ๆ เธอรู้ไหม ฉันฉี่ลงบนตะไคร้น้ำ บ้วนน้ำลายลงบนก้อนหิน แล้วก็ขอให้เธอฉีดเสปรย์แอลกอฮอล์ทำความสะอาดตัวจากขี้ฟันยายแก่ มันทำให้ฉันขนลุกเมื่อนึกถึงมัน เธอบอกว่า เธอจะบอกฉันในวันพรุ่งนี้ ในตอนที่เธอแจ้งให้ฉันทราบผล
“ลูก ๆ อยู่ที่ไหน พวกเขาไม่มาร่วมการสนทนาเรื่องในครอบครัวนี้ด้วยหรือ”
“ฉันคิดว่าไม่นะ อาจจะไม่ หลังจากนี้ เรายังไม่รู้อะไรใช่ไหม หรือคุณคิดว่ายังไง”
“ไม่ คงไม่ ฉันคิดว่า ฉันอาจจะให้สาวจีนคนนั้นนวดให้… มันอาจช่วยได้บ้าง ถ้าฉันขอให้เธอมาได้ง่าย ๆ เธอเรียนรู้ทักษะจากภาคเหนือของประเทศไทย และเธออาจจะค่อนข้างหยาบไปบ้าง หรืออาจไม่… เขาว่ากันนะ เธอรู้ไหมว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุแท้ของฉันก็คล้าย ๆ พวกเขานั่นแหละ บางทีพวกเขาก็จะได้ประโยชน์จากการถูนวดเบา ๆ ก็ได้นะ …คุณคิดว่ายังไงที่รัก”
“ใช่ ฉันรู้เธอหมายความว่ายังไงเกี่ยวกับการถูเบา ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเธอไม่ขอคุณลุงให้นวดให้ ทำไมถึงเลือกหญิงสาวล่ะ”
“คุณก็รู้ว่าทำไมฉันไม่ชอบให้มือผู้ชายมาแตะตัวฉัน ฉันได้อธิบายไปแล้วนะ ก็ได้ ถ้ามันทำให้คุณไม่สบายใจ ฉันจะไม่ไปนวด”
“ฟังนะ ฉันไม่ได้พูดว่าไม่ให้เธอไปนะ! โอ้สวรรค์ ฉันไม่สามารถห้ามเธอได้หรอก ถ้าเธอต้องการจะไป! อย่างไรก็ตามอย่างที่เธอว่า มีคนบอกว่าเธอค่อนข้างจะหยาบคาย และเธออาจจะทำอันตรายมากกว่าทำให้ดีขึ้น ฉันคิดว่ามันดูฉลาดมากกว่าถ้าจะยังไม่ทำ จนกว่าเราจะรอฟังป้าเธอก่อน”
ได้ ก็ดี เธออาจจะพูดถูกก็ได้ เธอยังไม่บอกเลยว่าเด็ก ๆ อยู่ไหน”
“ฉันไม่แน่ใจจริง ๆ ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะกำลังกลับมา… พวกเขาออกไปงานวันเกิดด้วยกัน หรือทำอะไรสักอย่างในวันหยุด”
ครอบครัวลีมีลูกสองคน ผู้ชายและผู้หญิงอย่างละหนึ่งคน และถือว่าเป็นความโชคดี เพราะพวกเขาพยายามในการมีลูกถึงสิบปีก่อนเริ่มตั้งครรภ์ลูกชายคนแรก ในตอนนี้คนหนึ่งอายุยี่สิบปี อีกคนสิบหกปี ฉะนั้นนายลีและคุณนายลีจึงละทิ้งความหวังถึงสิ่งอื่นใดมานานมากแล้ว
พวกเขาล้มเลิกความพยายามมานานแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เด็กสองคนนี้เป็นเด็กดี ให้เกียรติผู้อื่น และเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย และพวกเขาทำให้พ่อแม่ภูมิใจเสมอมา หรืออย่างน้อยสิ่งที่พ่อแม่รับรู้ได้เกี่ยวกับพวกเขาก็คือ การทำให้พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจ เพราะพวกเขาก็เหมือนกับเด็กดีทั่วไปคือ ดีอยู่ที่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายได้เช่นกัน และก็มีแอบคิดปิดบังในเรื่องพ่อแม่ไม่เห็นด้วยอยู่เช่นกัน
เจ้าหนูลี ลูกชาย นายเด่น หรือลีน้อย อายุย่างยี่สิบ และเรียนจบมาสองปีแล้ว เขาก็เหมือนกับน้องสาวของเขาที่มีความสุขกับชีวิตในช่วงวัยเด็ก แต่ความจริงก็คือ มันเริ่มมีความอึมครึมเกิดขึ้นในชีวิตจากสิ่งที่พ่อของเขาได้วางแผนชีวิตที่ยุ่งยากไว้ให้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยทำงานมาเลยในชีวิต ทำทั้งก่อนและหลังเลิกเรียนมาแล้ว อย่างไรก็ดียังมีเวลาเล่นฟุตบอลและปิงปอง และมีสาว ๆ ที่โรงเรียนเต้นรำในเวลานั้นด้วย
ตอนนี้ทุกอย่างได้สิ้นสุดลงแล้ว และมีแนวโน้มว่าเขากำลังมองหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ ไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ให้พูดถึงมากมายนัก แค่การจูบกันก็ยากแล้ว และแม้แต่การจับต้องของจริงก็ด้วย แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ทำแบบเลยมาเกือบสองปีแล้ว เด่นคงจะไปในตัวเมืองทันทีในตอนนี้อย่างไม่ลังเล หากเขารู้ว่าจะทำอะไรได้บ้างเมื่อไปถึงที่นั่น แต่เขาก็ไม่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าถึงขนาดนั้น นอกจากแค่ได้มีเซ็กส์บ่อย ๆ
ฮอร์โมนอันพลุ่งพล่านของเขากำลังสร้างปัญหาให้กับเขาถึงขนาดที่ว่า แพะบางตัวมันดูน่าสนใจสำหรับเขามาก ซึ่งทำให้เขากังวลอย่างต่อเนื่อง
จริง ๆ มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น เขาตระหนักว่าเขาจะต้องแต่งงาน ถ้าเขาต้องการมีความสัมพันธ์ปกติกับผู้หญิง
การแต่งงานนั้น ถึงแม้ว่ามันต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายในการมีลูก ช่างดูเป็นการเริ่มต้นตัดสินใจที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
สาวน้อยลี เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ดิน” เธอช่างเป็นเด็กอายุสิบหกที่น่ารักอย่างมาก เธอต้องออกจากโรงเรียนในฤดูร้อนที่จะถึงนี้ เธอเรียนน้อยกว่าพี่ชายสองปี ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของคนในพื้นที่ ไม่ใช่เพราะเธอฉลาดน้อยกว่า แต่เป็นเพราะทั้งพ่อแม่และตัวเธอเองคิดว่ายิ่งถ้าเริ่มต้นการมีครอบครัวก่อนก็ยิ่งดีมากเท่านั้น หากเด็กสาวจะหาสามีเมื่ออายุน้อยกว่ายี่สิบปีมันง่ายกว่าหากช้าไปกว่านั้นสักสองสามปี ดินยอมรับ ‘ภูมิปัญญา’ ดั้งเดิมนี้ โดยไม่ตั้งคำถามแม้ว่าแม่ของเธอจะรู้สึกหวั่นวิตกก็ตามที
เธอยังทำงานทั้งก่อนและหลังโรงเรียนเลิก ตลอดชีวิตของเธออาจจะลำบากกว่าพี่ชายของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่แทบจะเป็นแรงงานทาสอยู่ทุกหนแห่ง
อย่างไรก็ตาม ดินก็ยังคงมีความเพ้อฝันอยู่ เธอใฝ่ฝันถึงเรื่องราวที่แสนโรแมนติก ที่คนรักจะพาเธอไปอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งบางทีเขาอาจจะเป็นหมอ และเธอจะใช้เวลาทั้งวันไปกับการช้อปปิ้งกับแฟนของเธอ ฮอร์โมนของเธอทำให้รู้สึกสับสนเช่นกัน แต่วัฒนธรรมท้องถิ่นของพวกเขากีดกั้นไม่ให้เธอยอมรับสิ่งเหล่านั้น แม้แต่กับตัวเธอเอง พ่อ พี่ชายและแม่ของเธอก็เช่นเดียวกัน อาจจะให้เธอเก็บตัวหากพวกเขาจับได้ว่าเธอยิ้มให้เด็กผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
เธอรู้และยอมรับมันโดยไม่ตั้งคำถามใด ๆ เช่นกัน
มันคือแผนของเธอในการเริ่มมองหาสามีโดยทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่เธอได้พร้อมให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว เพราะผู้หญิงของตระกูลลีทั้งสองคนรู้ดีว่าควรทำให้สำเร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันความอับอายที่จะเกิดขึ้นแก่ครอบครัว
สรุปแล้วทั้งหมดนี้ ครอบครัวลีก็เป็นครอบครัวปกติทั่วไปในชุมชน และพวกเขาก็มีความสุขในสิ่งที่เป็น พวกเขาใช้ชีวิตภายใต้ข้อจำกัดตามวัฒนธรรมท้องถิ่นและคิดว่าสิ่งนั้นถูกต้อง และเหมาะสม แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเก็บงำความฝันที่อยากหนีเข้าเมืองใหญ่ก็ตาม ปัญหาคือ การขาดความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการกลับคืนสู่อารยธรรมชนเผ่าที่มีมาหลายศตวรรษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับรัฐบาล ไม่เช่นนั้นคนหนุ่มสาวทั้งหมดจะหายไปจากชนบทอย่างเนิ่นนานเพื่อเข้าสู่กรุงเทพฯ และจากที่นั่นอาจเดินทางต่อไปยังต่างประเทศ เช่นไต้หวัน และโอมานที่มีค่าแรงดีกว่า อย่างไรก็ตามอิสรภาพจากแรงกดดันของคนรอบข้างจึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจ
เด็กสาวหลายคนเคยเดินทางมาที่กรุงเทพฯ บางคนได้งานที่ดี แต่หลายคนจบลงด้วยการทำงานในอุตสาหกรรมทางเพศในเมืองใหญ่ และจากตรงนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่เดินทางไกลไปถึงต่างประเทศ และแม้แต่นอกเอเชียเสียด้วยซ้ำ มันมีเรื่องราวน่ากลัวหลายเรื่องเกี่ยวกับการห้ามปรามเด็กสาวไม่ให้เลือกเส้นทางนั้น และพวกเขาต้องทำงานกับความอึกทึก และแม่ของเธอก็ถูกสอนมาเหมือนกัน
นายลีชอบวิถีชีวิตและรักครอบครัวของเขา ถึงแม้ว่ามันไม่อาจยอมรับได้ในการถูกจองจำจากภายนอก และเขาไม่อยากสูญเสียทุกคนเพราะความเจ็บป่วยที่อาจจะเริ่มก่อตัวขึ้นภายในตัวเขา ทั้งที่อายุยังไม่มากนัก
นายลีเฒ่า (ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามีเด็กน้อยในหมู่บ้าน เรียกเขาว่า ตาลีแพะเฒ่า) ผู้มีอุดมการณ์ในช่วงวัยเยาว์ และได้เคยลงนามเพื่อต่อสู้กับเวียดนามเหนือในทันทีที่เขาออกจากโรงเรียน พวกเขาอาศัยติดกับชายแดนลาว ซึ่งเวียดนามเหนือก็อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นเท่าใดนัก และรู้ว่าพวกอเมริกันทิ้งระเบิดที่นั่น และเขาต้องการจะทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งมัน
เขาเข้าร่วมกับคณะคอมมิวนิสต์เพราะเหตุนี้ และไปเวียดนามเพื่อฝึกรบโดยทันทีที่ถูกเรียกตัว หลายคนที่เขาฝึกรบด้วยนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับเขา ส่วนหนึ่งเป็นคนจีน เป็นแต่เพียงความเอือมระอากับอำนาจจากต่างชาติที่เข้ามาแทรกแซงอนาคตของเพื่อนร่วมชาติของเขา เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมคนอเมริกันที่อาศัยอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์จึงมีความสนใจว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจในพื้นที่ส่วนเล็ก ๆ ของโลกเช่นนี้ เขาไม่เคยสนใจเลยว่าจะต้องเลือกประธานาธิบดีคนใด
อย่างไรก็ตาม คงเป็นชะตาฟ้าลิขิต เขาไม่เคยได้มีโอกาสกราดยิงคนด้วยความเกรี้ยวกราดเลย เพราะว่าเขาโดนเศษกระสุนจากระเบิดของพวกอเมริกันเสียก่อน ในตอนที่เขาถูกส่งไปฝึกออกค่ายที่สนามรบในวันแรกจากค่ายฝึก เขาได้รับความเจ็บปวดจากบาดแผลเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แม้ว่าพวกเขาจะมีกำลังเพียงพอหากต้องปลดประจำการลีจากกองทัพ หลังจากที่เขาดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาลได้ เขาถูกชิ้นส่วนขนาดใหญ่ฟาดเข้าที่ขาซ้ายด้านบน แต่มีเศษกระสุนเล็ก ๆ สองสามชิ้นเจาะเข้าที่ช่องท้อง ซึ่งตอนนี้เขาคิดว่านั่นอาจเป็นสาเหตุของอาการป่วยนี้ นั่นเป็นที่มาของข่าวลือว่า เขาเคยถูกยิง
เขากลับบ้านพร้อมกับขาที่ยังกะโผลกกะเผลก และได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอที่จะซื้อที่ดินผืนเล็ก ๆ สำหรับเพาะปลูก แต่เนื่องจากขาของเขายังไม่ดีนัก เขาจึงซื้อฟาร์มและฝูงแพะ และเพาะพันธุ์แพะเพื่อขายมันแทน ภายในหนึ่งปีที่เขากลับมา ขาของเขาก็เริ่มดีขึ้นจนเป็นปกติ และเขาได้แต่งงานกับสาวสวยในชุมชนที่เขารู้จัก และถวิลหามาทั้งชีวิต เธอมาจากพื้นเพการทำกสิกรรม และพวกเขาก็ตั้งรกรากอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ก็ทำงานอย่างเหนื่อยยาก
ทุกวันต่อสัปดาห์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ยกเว้นวันอาทิตย์ นายลีจะพาฝูงแพะของเขาไปในพื้นที่ราบสูงเพื่อกินหญ้า และในฤดูร้อนเขามักจะพักค้างคืนพักแรมอยู่ที่นี่ทีและที่นั่นที ซึ่งเขาได้เรียนรู้มันตอนอยู่ในกองทัพ เขามองย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นด้วยความอาลัย ช่างเป็นวันที่มีความสุขยิ่งนัก แม้ว่าในเวลานั้นเขาจะไม่ได้ติดต่อกลับไปหาพวกเขาก็ตาม
ไม่มีนักล่าบนภูเขาอีกต่อไป เว้นเสียแต่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เพราะเสือทั้งหมดได้ถูกฆ่าตายไปหมดมานานแล้ว เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยาจีน นายลีมีรู้สึกเกิดขึ้นหลากหลายมากมายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นในอีกแง่มุมหนึ่ง เขารู้ว่ามันเป็นความอัปยศ แต่ในทางกลับกันเขาก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะต้องปกป้องแพะของเขาจากพวกเสือที่ปล้นสะดมอยู่ทุกคืนอีกต่อไป เมื่อความเจ็บป่วยได้คลืบคลานทำร้ายเขาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาเป็นคนเลี้ยงแพะมาเกือบสามสิบปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับภูเขาเช่นเดียวกับผู้คนในชุมชนที่คุ้นเคยสวนสาธารณะในชุมชนของพวกเขานั่นเอง
เขารู้ว่าพื้นที่ใดที่ควรหลีกเลี่ยงจากทุ่นระเบิด และกล่องสารพิษที่ชาวอเมริกันทิ้งในช่วงปีเจ็ดศูนย์ที่ผ่านมา และเขารู้ว่าพื้นที่ไหนปลอดภัย แม้ว่าทหารช่างจะพลาดไปหนึ่งหรือสองครั้ง เช่นเดียวกับแพะตัวหนึ่งของเขาที่ถูกพบเมื่อเดือนก่อน ช่างเป็นเรื่องที่น่าอดสูเกี่ยวกับมัน แม้ว่าร่างไร้วิญญาณมันจะไม่สลาย และจุดจบมันเร็วเกินไป เมื่อหินปะทุออกมาทำให้เกิดทุ่นระเบิด และกระเด็นขึ้นฟ้าทำให้หัวของมันหลุดกระเด็นออกไปด้วย
ระยะทางมันไกลเกินกว่าที่จะขนซากของมันกลับบ้าน ดังนั้นนายลีจึงใช้เวลาสองสามวันบนภูเขาเพื่อดูแลตัวเอง ในขณะที่ครอบครัวของเขากังวลว่าเขาจะป่วยเมื่อเขากลับมาที่ฟาร์ม
นายลีเป็นคนที่พอใจกับทุกสิ่งที่มีอยู่ เขาสนุกกับงาน และชีวิตกลางแจ้ง และยอมรับความเป็นจริงว่าเขาเองไม่ได้ร่ำรวยอะไร หรือไม่ได้ไปต่างประเทศได้อีกต่อไป ด้วยเหตุผลนี้เขาและภรรยาของเขาจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับปัจจุบันอยู่กับลูกทั้งสองคน เขารักลูกเขาทั้งสองคนอย่างเท่าเทียมกัน และต้องการทำให้มันดีที่สุดสำหรับพวกเขา แต่เขาก็ดีใจเช่นกันที่พวกเขาออกจากโรงเรียนเพื่อที่พวกเขาจะได้ทำงานเต็มเวลาในฟาร์มซึ่งภรรยาของเขาปลูกพืชผักสมุนไพร และเลี้ยงหมูเอาไว้สามตัว และมีไก่อีกยี่สิบ สามสิบตัว
นายลีกำลังคิดว่าเขาจะขยายฟาร์มให้ได้มากเท่าไหร่ดีสำหรับเอาไว้เผื่อยามจำเป็น บางทีพวกเขาอาจต้องเพิ่มจำนวนไก่อีกหลายสิบตัว เพิ่มหมูอีกสักสองสามตัว และปลูกข้าวโพดหวานอีกสักหน่อย
เขาตื่นจากภวังค์ “จะเกิดอะไรขึ้น หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น มัด ฉันไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ฉันก็หน้ามืดมาแล้วสองครั้งในสัปดาห์นี้ และมันมีแววจะมากขึ้นอีกสองหรือสามครั้ง”
“ทำไมเธอไม่บอกฉันเรื่องนี้ก่อนล่ะ”
“รู้ไหม ฉันไม่อยากให้คุณกังวล และคุณไม่สามารถทำทุกสิ่งทั้งหมดนี้ได้ไม่ใช่หรือ”
“ไม่หรอก ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอะไร แต่ฉันจะพาเธอไปหาป้าของเธอให้เร็วที่สุด และบางทีจะพาเธอไปหาหมอด้วย”
“ อ่า เธอก็รู้จักฉันดีนะ มัด ฉันเคยพูดว่า ‘รอดูว่าป้าจะพูดว่ายังไงก่อนที่จะใช้เงินทั้งหมดนั้น’ บางครั้งฉันต้องยอมรับว่ารู้สึกแปลก ๆ และฉันก็ค่อนข้างกลัวว่าป้าจะพูดว่ายังไงในวันพรุ่งนี้”
“ ใช่ ฉันก็เช่นกัน เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งนั้นใช่ไหม”
“บางครั้งนะ แต่ฉันรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ฉันเคยสามารถวิ่งและกระโดดกับแพะได้ แต่ตอนนี้ฉันแค่มองดูพวกมัน ฉันก็เหนื่อยแล้ว!
“มีบางอย่างผิดปกติ ฉันเชื่ออย่างนั้น”
“ดูนี่สิ พ่อ” ซึ่งเป็นชื่อสัตว์เลี้ยงจอมทึ่มของเธอที่ใช้เรียกเขา เแต่ทว่ามันมีความหมายใช้เรียก ‘พ่อ’ ในภาษาไทยด้วย “เด็ก ๆ ยืนอยู่ที่ประตู เธอต้องการให้พวกเขาเข้ามาตอนนี้หรือไม่”
“ไม่ คุณพูดถูก ทำไมต้องกังวลตอนนี้ แต่ฉันคิดว่าป้าจะบอกฉันตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้ ดังนั้นบอกพวกเขาว่าเราจะประชุมครอบครัวกันในเวลาน้ำชา และพวกเขาจะต้องอยู่ที่นั่นด้วย
“ฉันคิดว่าฉันจะไปนอนแล้ว ฉันรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอีกแล้ว การเสกเป่าของป้าทำให้ฉันมีพลังเพียงชั่วระยะหนึ่ง แต่มันก็เสื่อมไปแล้ว บอกพวกเขาว่าฉันไม่เป็นไรนะ แต่ขอให้เด่นช่วยเอาแพะออกไปให้ฉันพรุ่งนี้จะได้ไหม เขาไม่ต้องพาพวกมันไปไกลนัก เพียงแค่ลงไปตามลำธารเพื่อที่พวกมันจะได้กินวัชพืชในแม่น้ำ และดื่มน้ำ… มันจะช่วยพวกมันได้สักวัน สองวัน
หากเธอมีเวลาสักสิบนาที เธอช่วยทำชาแบบพิเศษให้ฉันหน่อยได้ไหม อันที่มีขิง โป๊ยกั๊ก และสิ่งต่าง ๆ… ที่น่าจะช่วยฉันให้สดชื่นขึ้นมาได้บ้าง… โอ้ และเมล็ดแตงโม หรือเมล็ดทานตะวันสักหน่อย… บางทีเธออาจจะขอให้ดินแกะให้ฉันจะได้ไหม”
“แล้วซุปสักถ้วยดีไหม มันเป็นของโปรดเธอนี่… ”
ได้ ตกลง แต่ถ้าฉันเผลอหลับ ก็วางมันไว้บนโต๊ะนะ และฉันจะทานตอนที่มันเย็นลงแล้วในภายหลัง
“สวัสดีเด็ก ๆ ฉันจะไปนอนให้เร็วขึ้นในคืนนี้ แต่ฉันไม่อยากให้พวกเธอต้องห่วงฉัน ฉันสบายดี แม่ของพวกเธอจะเล่ารายละเอียดให้ฟังนะ ฉันแค่ติดเชื้อบางอย่าง ฉันคิดว่าอย่างนั้น ราตรีสวัสดิ์นะทุกคน”
“ราตรีสวัสดิ์ พ่อ”พวกเขาตอบกลับ ดินดูกังวลเป็นพิเศษ ในขณะที่พวกเขามองนายลีอย่างห่วงใยก่อนที่นายลีจะเดินหันหลังไป และจากนั้นก็หันมามองหน้ากัน
ในขณะที่นายลีล้มตัวนอนในค่ำคืนที่มืดมิดและเงียบงัน เขารู้สึกว่าตัวเขามีอาการปวดตุบ ๆ มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับอาการเวลาฟันผุที่มักจะมีอาการเจ็บปวดอย่างมากในเวลานอนตอนกลางคืน แต่เขาก็เหนื่อยมากจนเคลิ้มหลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะชา ซุป และเมล็ดธัญพืชจะถูกนำมาให้เขา
ข้างนอกบ้านบนโต๊ะตัวใหญ่ ท่ามกลางดวงไฟสลัวครอบครัวเล็ก ๆ คนที่เหลือนั่งพูดคุยกันถึงสภาวการณ์ของนายลีด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินพวกเขาหากพวกเขาพูดออกมาดัง ๆ ก็ตาม
“พ่อจะตายไหม แม่” ดินแทบจะร้องไห้ออกมา
“ไม่หรอก ลูกเอ้ย ไม่อย่างแน่นอน” เธอตอบ “อย่างน้อย…แม่ก็ไม่คิดแบบนั้น”

1 2 ความฉงนใจของครอบครัวลี
ตามวิถีของคนในชนบท ทุกคนจะนอนรวมกันในห้องเดียวกันในบ้าน แม่และพ่อนอนเตียงนอนคู่ ส่วนเด็ก ๆ นอนคนละเตียง และทั้งสามเตียงก็มีมุ้งกันยุงของตัวเอง ดังนั้นเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ทุกคนจะย่องออกมาเพื่อไม่ให้เฮงตื่น
พวกเขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะพ่อมักจะเป็นคนแรกที่ตื่น และออกไปก่อนเสมอ แม้ในเช้าที่หนาวเหน็บที่สุดก็ตามที พวกเขามองผ่านมุ้งไปที่ใบหน้าที่ซีดเซียวของเฮงและดูเป็นกังวล จนกระทั่งแม่ไล่ให้พวกเขาออกไปข้างนอก
“ดิน ช่วยเราหน่อย ลูกเอ้ย ฉันไม่ชอบสภาพแบบนี้ของพ่อเธอเลย อาบน้ำให้เร็ว แล้วก็ไปดูว่าป้าจะบอกอะไรเราบ้าง ไปได้ไหมลูก ให้เป็นเด็กดีนะ หากเขายังไม่พร้อม และเรามาค่อนข้างเร็วไป ซึ่งฉันรู้ดี ถามเธอนะว่า เธอจะพยายามเพื่อหลานชายคนโปรดได้ไหม ก่อนที่มันจะสายเกินไป
ดินเริ่มร้องไห้ และวิ่งหนีไปอาบน้ำ “ขอโทษนะ ลูกรัก แม่ไม่ได้ตั้งใจจะอารมณ์เสียใส่ลูก!” เธอตะโกนเรียกลูกสาวให้กลับมา
เมื่อเธอมาถึงบ้านป้าทวดของเธอในสิบห้านาทีต่อมา หมอผีชราลุกขึ้น แต่งกายเรียบร้อย นั่งกินข้าวต้มตรงโต๊ะใหญ่หน้าบ้าน
“อรุณสวัสดิ์ ดิน ดีใจที่ได้เจอเธอนะ เอาข้าวต้มสักชามไหม มันอร่อยมากนะ” ดาเอาใจใส่เหลนสาวของเธอ และโดยเฉพาะดินเป็นพิเศษ แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เธอถาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่า แม่ของเธอถามถึงการวินิจฉัยโรคที่เหมาะสมภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง
“นั่นแม่ของเธอหรอกหรือ! ได้ เราจะดูว่าเราควรทำยังไงกันต่อไป… พ่อของเธอดูแย่มากใช่ไหม
“ใช่ค่ะ ป้าดา เขาขาวซีดเหมือนศพ แต่เราไม่คิดว่าเขาจะตาย… แม่ได้ถ่วงเวลาเขา เมื่อฉันออกมา เพื่อดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ฉันไม่อยากรอ จะได้รู้กันไปเลย ฉันไม่อยากให้พ่อต้องตาย ป้าดา ได้โปรดช่วยเขาด้วย”
“ฉันจะทำทุกอย่างที่ฉันสามารถจะทำได้ แต่เมื่อพระพุทธเรียกตัว ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถปฏิเสธได้ แต่เราพอจะมีหนทางที่เราสามารถทำได้ มากับฉัน”
ดาเดินเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเธอ จุดเทียนและปิดประตูที่อยู่ด้านหลังพวกเขา เธอหวังว่าดินจะให้ความสนใจในวิถีเก่าแก่นี้ ขณะที่เธอยังเด็กพอที่จะสอนเธอได้ เพราะเธอรู้ว่าดินจะต้องเป็นผู้สืบทอดมันในสักวัน ถ้าภาระกิจนั้นต้องอยู่ในตระกูลลี
เธอชี้ไปที่เสื่อของผู้สอบถามที่พื้น และดินก็ได้นั่งลงจากนั้นเธอก็เดินไปรอบ ๆ กระท่อม พึมพำสวดมนต์คาถา และจุดเทียนอีกสองสามเล่มก่อนจะนั่งตรงข้ามดิน ซึ่งกำลังจ้องมองลงไปที่มือที่กุมไว้บนตักของเธอ
ดาจ้องมองไปที่หลานสาวของเธอ รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยในร่างกายของเธอ จ้องไปที่มือของเธอเองสักสองสามวินาที และจากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองดินอีกครั้ง
“เธอมาขอคำแนะนำเกี่ยวกับคนอื่นอย่างนั้นหรือ กรุณาถามคำถามของเธอมา” ดาพูด แต่ด้วยน้ำเสียงทุ้ม เข้ม และดังก้องโดยที่ไม่มีใครเคยได้ยินจากภายนอกกระท่อมหลังนั้น
การแปลงร่างนั้นทำให้ดินตกใจเหมือนอย่างที่เคย เมื่อป้าของเธอตกอยู่ในภวังค์ และอนุญาตให้พลังงานอื่นเข้าควบคุมร่างกายของเธอ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปไม่มากนัก แม้ว่ามันจะเคยเกิดขึ้นแล้ว แต่ทั้งร่างกายของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างน่าฉงนในลักษณะเดียวกับที่นักแสดง หรือนักเลียนแบบสามารถเปลี่ยนบุคลิกให้เหมาะสมกับตัวละครที่เขากำลังเล่นอยู่ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น ราวกับว่าภายในของดาถูกสิงด้วยใครบางคน ซึ่งทำให้เธอไม่เพียงแต่ดูแตกต่างออกไปจากเดิม แต่น้ำเสียงก็ฟังดูแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน
ดินมองไปที่หมอผีคนเก่าที่ไม่ใช่ป้าของเธออีกต่อไป
“ท่านหมอผี พ่อของฉันป่วยหนักมาก ฉันต้องการทราบว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร และเราจะแก้ไขยังไงได้บ้าง”
“ใช่ บิดาของเธอ คนที่เธอเรียกว่า ‘พ่อ’ ”
ใครคนนั้น ป้าของเธอ น้ำเสียงฟังดูคล้ายผู้ชายในขณะนี้เอามือจับห่อแต่ละห่อที่เฮงทิ้งไว้เมื่อวันก่อน แล้วปิดตาป้าของเธอลง มีบางอย่างที่ดูเหมือนจะทำให้ดินหยุดชะงักไปครู่ใหญ่ และมีอาการดำดิ่ง ที่เธอจะบอกได้ว่าเธอสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าป้าเดินบนพื้นโคลนแข็ง ๆ เสียด้วยซ้ำ
ดินเคยเข้าร่วมพิธีการแบบนี้มาแล้วสิบกว่าครั้ง แม้ว่าที่ผ่านมามันไม่ได้มีอะไรน่ากังวลเท่าครั้งนี้ก็ตาม เธอเคยถามเรื่องโรคเกี่ยวกับช่องท้องมาแล้วครั้งหนึ่งราว ๆ เมื่อ 2-3 ปีก่อน และล่าสุดเธอได้มาสอบถามว่าจะได้แต่งงานเร็ว ๆ นี้หรือไม่ เธอไม่กลัวบรรยากาศหรอกนะ แต่คือผลลัพธ์ต่างหากเล่า แต่เธอรู้ว่าเธอทำได้เพียงแค่นั่งรอ และสังเกตการณ์ เพราะเธอคพบว่ามันดูน่าสนใจ
หมอผีแกะห่อแรกที่มีหินออกอย่างช้า ๆ ตรวจดูอย่างระมัดระวัง ดมกลิ่นแล้วนำกลับไปวางบนใบตอง จากนั้นหยิบใบไม้ที่ห่อตะไคร้น้ำขึ้นมาดมก่อนจะวางลงบนเสื่อข้างหน้าของเธอ
หมอผีจ้องมองมาที่ดินอย่างเคร่งขรึม และหลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็พูดขึ้นว่า
“บุคคลที่เธอกำลังกังวลใจอยู่นี่ กำลังป่วยหนัก ในความเป็นจริงเขาเข้าใกล้ความตายมากขึ้นทุกที เมื่อเขาให้ตัวอย่างเหล่านี้มา แต่เขายังไม่ตาย… อวัยวะภายในของเขาบางส่วน โดยเฉพาะความสะอาดของโลหิตนั้นอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่มาก… สิ่งที่เธอเรียกว่าว่า ไต ในภาษาไทยหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง และตับเริ่มเสื่อมอย่างรวดเร็ว
“นั่นหมายความว่า ความตายกำลังใกล้เข้ามา ไม่มีวิธีการรักษาทางการแพทย์ที่เป็นที่รู้จัก”
หมอผีตัวสั่นอีกครั้ง และแปลงร่างกลับไปเป็นป้าดาคนเก่าที่กระพริบตาสองสามครั้ง และดิ้นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังใส่ชุดตัวเล็กตัวเก่า แล้วขยี้ตา
“มันไม่ใช่ข่าวดีใช่ไหมลูก เธอรู้ดีว่าเมื่อฉันถูกสิงร่าง ฉันไม่สามารถได้ยินอะไรทั้งสิ้น แต่ฉันพอจับใจความได้บ้าง และฉันเห็นว่าใบหน้าของเธอไม่สู้ดีนักเกี่ยวกับเรื่องของพ่อเธอ”
“พระวิญญาณบอกว่า พ่อคงจะตายในไม่ช้านี้ อย่างที่ไม่มีการรักษาทางการแพทย์ได้ เพราะภาวะไตและตับเสื่อม…”
“ฉันเสียใจนะ ดิน เธอรู้หรือไม่ว่าฉันรักพ่อของเธอมาก… ฟังนะ ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันได้ค้นพบเทคนิคพิเศษอะไรบางอย่างเมื่อหลายปีมาแล้วว่านอกเหนือจากการถูกสิงสู่ ตอนนี้ดูตรงนี้… ใช่ หิน… ดูตรงที่พ่อเธอบ้วนน้ำลายลงบนนั่น ไม่มีร่องรอยอะไรเลย! นั่นหมายความว่าไม่มีเกลือในน้ำลายของเขา ไม่มีเกลือแร่ ไม่มีวิตามิน ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เป็นแค่เพียงน้ำเปล่า
“ตรงนี้ ตะไคร้น้ำ” เธอดมมันห่าง ๆ แล้วเอาเข้ามาใกล้จมูกสิ “เหมือนกัน! ดมอันนี้!” เธอถือมันออกมาให้ดินดม แต่ดินไม่เต็มใจที่จะดมกลิ่นปัสสาวะของพ่อเธอนัก “ดมสิ มันไม่กัดเธอหรอก!” ดากล่าว ดินทำตามที่เธอเชื้อเชิญ
“ไม่มีกลิ่นอะไรเลย มีเพียงแค่ตะไคร้น้ำ”
“ใช่เลย! กลิ่นฉี่ของผู้ชายจะคล้ายกลิ่นฉี่แมว หากเธอห่อมันไว้ แต่ของพ่อเธอไม่มีกลิ่นเลย เพราะฉะนั้น ไม่มีเนื้อเน่าในนั้น เพราะฉะนั้น เลือดของพ่อเธอก็เหมือนกับน้ำ
“เธอไม่สามารถมีชีวิตยาวนานได้ด้วยแค่น้ำของเลือดใช่หรือไม่ ว่ากันตามเหตุผลไม่ใช่เหรอ เลือดของเธอต้องใช้ความดีงามทั้งหมดที่อยู่ในร่างกาย แต่พ่อของเธอไม่มีเลย และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอ่อนแรงตลอดเวลา!
“เธอออกไปจากบ้านตอนนี้แล้วไปดูว่ามันสายเกินไปหรือไม่ และถ้าเขายังอยู่กับพวกเรา เอาสกูตเตอร์ของเธอกลับมารับฉัน รีบไปตอนนี้ แล้วรีบเข้านะ”
ดินแทบจะบินออกประตูไปด้วยซ้ำ และวิ่งกลับไปบ้าน
ในขณะที่ดินออกไปดูพ่อของเธอ ดาเตรียมตัวออกไป เพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าเฮงจะไม่ตายแน่นอน อย่างไรก็ตามจะไม่ตาย เธอได้เลือกสมุนไพรบางอย่าง และใส่มันไว้ในย่าม ล้างหน้าแล้วรวบผมด้วยผ้าคลุมศีรษะเพราะกันลมได้ดี เตรียมพร้อมในการนั่งมอเตอร์ไซค์ แล้วเธอออกมาข้างนอกเพื่อรอหลานสาวของเธอ
ดินมาถึงในไม่กี่นาทีต่อมาด้วยฝุ่นฟุ้งตลบ
“เร็วเข้า ป้า แม่บอกว่าให้มาเร็ว ๆ เพราะพ่อกำลังจะเสียแล้ว”
ดานั่งคร่อมสกูตเตอร์อย่างทะมัดทะแมง จากนั้นผมของดินก็หลุดปลิวฟาดบนหน้าอันเหี่ยวย่นของเธออย่างเจ็บปวด และเธอพยายามหลบมัน ทันทีที่พวกเขามาถึง ดากระโดดลงรถ ซึ่งสำหรับเธอแล้วถือเป็นหญิงแก่ที่กระฉับกระเฉงทีเดียว และพากันเข้าบ้านไป
“ขอบคุณที่มาทันเวลา ป้าดา เขาขึ้นห้องนอนแล้ว”
ใช่ ฉันเดาว่าเขาจะอยู่ในที่นอน และไม่ได้อยู่กับแพะสุดรักของเขาเป็นแน่!” เธอยกมุ้งขึ้น และนั่งบนพื้นไม้ ใกล้กับหัวของเขา ก่อนอื่นเธอจ้องมองดูผิวหนังและเส้นผมของเขา แล้วไล่ไปที่ริมฝีปาก และสุดท้ายเธอเปิดตาของเขา และมองเข้าไป
“อืม เห็นละ… เอาเท้าเขาออกมาซิ!” วรรณรีบเอาเท้าสามีออกมา แล้วดาจึงโน้มตัวไปบีบมัน และมองดูใกล้ ๆ
“อืม ฉันไม่เคยเห็นกรณีการขาดโปรตีนในเลือดที่ร้ายแรงเช่นนี้มาก่อน เธอจะอนุญาตให้ฉันบอกลูกของเธอให้ทำอะไรบางอย่างสักระยะได้ไหม ดี ฉันจะกลับมาในไม่ช้า เอาหัวสามีของเธอหนุนไว้บนหมอนสองสามใบนะ ฉันจะให้ดินไปช่วยเธอข้างใน ส่วนเด่นจะช่วยฉันอยู่ข้างนอก”
“ได้ค่ะ ป้า แน่นอน อะไรก็ได้ที่จะช่วยเฮงได้”
“เอาล่ะ มาดูกันว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง” และด้วยการที่เธอลุกขึ้น และลงไปที่ระดับพื้นดิน
“ดินไปช่วยแม่ของเธอ เด่นมากับฉัน เราทุกคนต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและแม่นยำ”
ดินรีบทำเป้าหมายอย่างรวดเร็ว แล้วเด่นถามว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง
“ไป แล้วเอาไก่หนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีมาให้ฉัน! เร็วเข้า พ่อหนุ่ม!”
ตอนที่เขากลับมาพร้อมกับไก่หนุ่มที่หนีบอยู่ใต้แขนของเขา แล้วดาก็จับเอามันไป “ตอนนี้มัดเจ้าแพะตัวผู้ที่แข็งแรงที่สุดของเธอไว้กับเสายาวสักนิ้วให้แน่นจนขยับไม่ได้ ให้มันนั่งหรือยืนก็ได้”
ในขณะที่เด่นรีบออกไป ดาก็เกาะอยู่บนขอบโต๊ะเชือดคอหอยไก่ ตวงเอาเลือดออกมาใส่ชามไว้ โยนร่างไร้วิญญาณลงตะกร้าผักบนโต๊ะ แล้วรีบขึ้นไปชั้นบน
“ดิน” เขาพูดเมื่อมาถึงว่า เธอมีนมแพะ หรือนมชนิดใดก็ได้ในตู้เย็นไหม ถ้าไม่มี ก็เอาเหยือกออกมาแล้วรีดสด ๆ ใส่ลงไป ได้โปรดสาวน้อย ”
เธอไม่ได้ต้องการที่จะบอกแบบเร่งเร้า แล้วเธอก็ออกไป
“โอเค วรรณ เขาตื่นหรือยัง”
“ไม่เลยค่ะ ป้า ครึ่งหลับครึ่งตื่น”
“เอาล่ะ เธอบีบจมูกเขา แล้วฉันจะเอาเลือดหยอดให้ไหลลงคอ” เธอบีบกรามที่ปิดของเขาด้วยนิ้วหัวแม่มือและใช้นิ้วกลางเพื่อเปิดออก ดันหัวของเขาไปด้านหลัง แล้วเทเลือดไก่สองสามคำลงไปในลำคอของเขา ดาเดาทางที่เฮงพ่นออกมาเหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล ประมาณครึ่งหนึ่งของมันกำลังไหลลงไปถูกทางแล้ว
เฮงลืมตาขึ้นเล็กน้อย
“นังแม่มดแก่สองคนนี่กำลังทำอะไรกับฉันเนี่ย” เขากระซิบแผ่วเบา“ นั่นมันแย่มาก!”
“อ่า ฉันก็คิดอย่างนั้น” ดาพูดพร้อมกับบอกว่า“ มันเข้มข้นเกินไป เขาต้องสร้างความคุ้นเคยใหม่กับมัน”
เมื่อดินมาถึง เธอก็พูดว่า “นมสดอุ่น ๆ จากเจ้าฟลาวเวอร์ แพะที่ดีที่สุดของเรา”
ดาเอามันผสมกับเลือดที่เหลือ 50-50 แล้วเทลงคอของเฮงเหมือนครั้งก่อนที่ก็ได้ผลเหมือนเดิม แต่มีอาการต่อต้านเล็กน้อย
“ดูนั่นสิ!” เธออุทานขึ้นมา“ เขาแข็งแรงขึ้นมาแล้ว! เฮงกำลังพยายามต่อต้านพวกเรา เขากำลังขัดขืน บางทีเขาอาจจะยังไม่ตายไปเลยก็ได้!
“ถูกต้อง! วรรณเธอเอานมไปด้วย แต่เก็บส่วนที่เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง ฉันจะกลับมาในอีกไม่กี่นาที”
เธอลงไปข้างล่าง และเรียกเด่น
“แพะตัวนั้นพร้อมแล้วใช่ไหม”
“ครับ ป้า มันอยู่ตรงนั้น”
“ดีมาก มากับฉัน”
ดากรีดรอยบากที่คอหอยของแพะด้วยมีดปลายปากกาที่คมกริบของเธอ แล้วสูบเลือดออกมาไม่กี่ร้อยมิลลิลิตร
“ดูไว้ว่าฉันทำอย่างไรบ้าง ไอ้หนู จงจำไว้ เพราะฉันคิดว่าเธอจะต้องทำมันทุกวันตั้งแต่นี้ไป”
ทั้งสองคนขึ้นไปข้างบนแล้วต้องแปลกใจที่เห็นเฮงกำลังพูดคุยกับภรรยากับลูกสาวของเขา เหมือนผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่กำลังเบลอยาสลบ อ่อนเพลีย และงุนงง แต่ทว่าเพ้อ
ดาผสมเลือดแพะครึ่งต่อครึ่งกับนมแพะส่วนที่เหลือ แต่กระนั้นให้เขาลองดื่มเพียว ๆ ดูก่อน
“โอ้ ป้า นั่นมันน่าสะอิดสะเอียนมาก!
โอ้ หลานรัก… ” “พยายามดูก่อน” เธอพูดพลางยื่นแก้วที่มีของเหลวสีชมพูให้เขา
ใช่… มันค่อนข้างดีทีเดียว… มันคืออะไร ฉันสามารถรู้สึกได้ว่า มันทำให้ฉันดีขึ้นมาแล้ว”
เฮงดื่มมันอย่างกระหาย
“มันคือ เอ่อ มิลค์เชคกับสมุนไพร… มันดีใช่ไหม”
“ใช่ ป้า ดีมาก… สดชื่นมาก ๆ มีอีกไหม”
วรรณมองไปที่หมอผีเฒ่าที่พยักหน้ารับ วรรณเทให้อีกแก้ว แล้วช่วยสามีให้ดื่ม
“โอ้ ฉันดีใจมากเฮง ดากล่าว ฉันคิดว่าเราได้พบมิลค์เชคนี้เพื่อแก้ปัญหาสถาณการณ์ลำบากของเธอได้แล้ว แม้ว่าฉันมั่นใจว่าเราสามารถทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อีกเล็กน้อย บางทีเราอาจจะสามารถหาส่วนผสมอื่นที่จะปรับเปลี่ยนรสชาติให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้มันไม่น่าเบื่อ รู้ใช่ไหม”
“ครับป้า ผมรู้ว่าป้าจะช่วยให้ผมมันผ่านพ้นไปได้”
“ทำได้ทุกอย่างเพื่อครอบครัวของฉัน ฉันยินดีที่ได้ช่วยเหลือ” เธอตอบ และส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจให้กับเขา
เธอผสมเลือดที่เหลือกับนมพร้อมด้วยสมุนไพรบางอย่างหนึ่งหยิบมือลงไปในมิลค์เชคห้าร้อยกว่ามิลลิลิตร แล้วพูดว่า:
“เฮง ฉันคิดว่าเธอควรจะพักผ่อนได้แล้ว ดูนั่น นี่เป็นมิลค์เชคสำหรับมื้อต่อไป และฉันจะสอนสมาชิกในครอบครัวเธอถึงวิธีทำมันให้เธอ ฉันลงไปข้างล่างก่อนนะ ตามสบายครับ เรียกฉันได้นะ ถ้าเธอต้องการฉัน เจอกันใหม่ หายเร็ว ๆ นะ”
ขณะที่ทุกคนนั่งสบาย ๆ ที่โต๊ะใหญ่ในสวน และวรรณได้นำเอาน้ำเย็นและผลไม้สดเพื่อเพิ่มความสดชื่นมาให้ทุกคน ดาเริ่มต้นพูดคุยกันในครอบครัว
“อย่างที่ฉันบอกไปตอนแรกว่าฉันไม่เคยพบเห็นเคยเรื่องเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นประสบการณ์ใหม่ของฉัน และจิตวิญญาณนำทางฉันให้พบวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องได้
“อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ เรามีเพียงสิ่งที่เธออาจเรียกว่า “ทรัพยากรฉุกเฉิน” เท่านั้น จงเผชิญหน้ากับมัน เราให้เลือดสัตว์แก่เฮง ซึ่งพวกมันก็ไม่ได้กินอาหารเช่นเดียวกับมนุษย์ ดังนั้นเขาจะยังขาดสารอาหารที่สำคัญบางอย่าง
“สิ่งที่เราต้องทำ คือ ให้เลือดสัตว์ที่กินสิ่งที่มนุษย์กินแก่เขาให้เป็นปกติและต่อเนื่อง ยิ่งทำให้เหมาะสมกับเฮงได้เท่าไหร่ ยิ่งดีกับเขาเท่านั้น
ตอนนี้เราทุกคนรู้แล้วว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกินสิ่งที่ร่างกายต้องการได้ในทุก ๆ วัน ดังนั้นเราอาจสันนิษฐานได้ว่าเฮงจะไม่ต้องการแบบนั้นเช่นกัน และหากเราให้เลือดไก่แก่เขา เขาจะขาดสารอาหารไปหลายอย่าง เพราะมีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะทำให้ดีขึ้นและรอดชีวิตได้
“เช่นเดียวกัน ถ้าเขาเพียงแค่ดื่มเลือดแพะ หากว่าหญ้าไม่ได้มีสารอาหารเพียงพอสำหรับมนุษย์ในระยะยาว”
“แล้วป้าดาคิดว่ายังไงกับเรื่องนี้” เด่นถาม“ เราต้องหาเลือดลิงมาให้เขาหรือไม่”
“ใช่ นั่นคือความหมายของฉัน ถูกต้อง เด่น แต่ลิงก็ไม่ได้กินเหมือนที่พวกเรากินใช่ไหม”
เธอปล่อยให้ทุกคนช่วยกันคิดให้ลึกซึ้งในสิ่งที่เธอเสนอ ดินคิดมันได้ก่อน
“ป้าหมายความว่า พ่อจะต้องการเลือดของมนุษย์ปกติอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ดิน นั่นจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และอาจเป็นวิธีเดียวในระยะยาว ถ้าเธอไม่สามารถหาเลือดมนุษย์ได้ เธอจะต้องให้เลือดจำนวนมากแก่เขาจากสัตว์หลายชนิดเพื่อเทียบเท่ากับโภชนาการของมนุษย์ ยกตัวอย่าง..หมูที่กินอาหารที่เรากินกัน แต่มันไม่กินผลไม้มากเท่าไหร่ และมันไม่กินเนื้อหมูด้วยกันเอง
“ฉันคิดว่าเธออาจจะหา ‘ผู้บริจาคหมู.. สำหรับเฮง และเลี้ยงมันด้วยอาหารเฉพาะเพื่อได้เลือดที่ถูกต้อง และให้อาหารเสริมแก่มัน และเสริมด้วยเลือดของสัตว์ประเภทอื่น แต่ก็ต้องใช้ความพยายามอีกมากมาย เธอสามารถทำค็อกเทลเลือดไก่ แพะ หมู สุนัขและแมว แล้วเก็บมันไว้ในตู้เย็น แต่ไม่มีใครทำแบบนั้นมาก่อนเท่าที่ฉันรู้มานะ… ผลลัพธ์จะไม่สามารถคาดเดาว่ามันจะดีที่สุด
“ทางออกที่เป็นจริงเป็นเรื่องที่ธรรมดามากเช่นเดียวกับปลายจมูกบนหน้าของเธอนั้นล่ะ และมันก็คือ เลือดมนุษย์
“เราดูตัวอย่างทดสอบของพ่อเธอเจ็ดชั่วโมงก่อนหน้านี้ และหลักฐานมันก็ชัดเจน
“พ่อของเธอขาดเลือด!
“ไม่มีเลย!
“ไม่มีแม้สักหยด!
“ฉันจะทำให้เธอดู” ดาเอื้อมไปหยิบของที่กระเป๋าสะพาย และเอาตะไคร้น้ำที่ห่อด้วยใบตองออกมา “นี่คือผลฉี่ของพ่อเธอ ดูนี่” เธอจุดไฟเผามัน “เปลวไฟกระตุกเล็กน้อย
จากความชื้น แต่เห็นไหมว่าไม่มีสีใด ๆ ในเปลว นั่นคือการขาดวิตามิน ขาดเกลือแร่ ไม่มีสิ่งใดในเลือดเลย เขามีแค่น้ำในเส้นเลือด ถึงแม้ว่ามันจะยังคงมีสีแดงอยู่ก็ตาม
“พวกเราจะเอาเลือดเขาออกมาตรวจเล็กน้อยภายหลัง ถ้าเธอต้องการ ถ้าเขามีเลือดจริง ตะไคร้น้ำจะเหือดแห้งทันที และมีสีเหมือนถูกเผาไหม้
“ก้อนหินก็เหมือนกัน ดูสิ! เฮงบ้วนน้ำลายลงไปตรงนี้ แต่ไม่มีวงเกลือ ไม่มีอะไรเลย และมันก็เป็นเพียงน้ำอีกเช่นกัน พ่อของเธอไม่มีเลือดอยู่ในตัวเขา
“ไม่มีแม้แต่หยดเดียว!”
“มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ ป้าหมอ เด่นถาม
“แย่มากใช่ไหม แย่มากใช่ไหม เจ้าหนุ่ม มนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากไม่มีเลือด!
“ฉันรักเธอมากนะ เด่น แต่เธอก็ยังโง่ได้จนในเวลานี้! เซ็กส์ขึ้นสมอง ฉันรู้ว่ามันเป็นธรรมดาของเด็กหนุ่มทั่วไป
“และมันเป็นแค่เพียง ‘ป้า’ ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
“พ่อของเธอกลายเป็นแวมไพร์ไปแล้ว… ที่ผ่านมาเขากัดเธอหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ครับป้า แต่บางทีเขาอาจจะกัดแพะก็ได้ เราไม่อาจรู้ได้” เด่นตอบ
“โอ้ นี่มันเรื่องร้ายแรงนะ ร้ายแรงมากจริง ๆ ฉันเคยได้ยินกรณีแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน แต่ไม่เคยพบเห็นเลยจาก… ประสบการณ์อันมากมาย เอ่อ… ของฉัน
“ว้าว” เด่นอุทานออกมา พ่อกลายร่างเป็นผีปอบ เป็นแวมไพร์อย่างนั้นหรือ คอยดูนะ ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้พวกเพื่อน ๆ ฟัง! เฮงผีปอบ! นั่นมันสุดยอดมากเลย!”
“เขาจะตายในไม่ช้านี่ใช่ไหม” ดินถาม
“พวกเรากำลังพยายามจะช่วยเขา ดิน เราจะทำทุกอย่างที่ทำได้ แต่นั่นหมายความว่าอย่าเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เด่น! นายเข้าใจไหม ไม่ว่าใคร ไม่ว่าใครทั้งนั้น เจ้าเด็กโง่!
“เธอแน่ใจนะว่าเด็กคนนั้น คือ เจ้าหนุ่มลีจริง ๆ เหรอ วรรณ” เธอเหลือบมองไปยังวรรณซึ่งกำลังทำหน้าบึ้งตึงใส่เธอด้วยความไม่เคารพ ทั้งที่เธอควรจะสำรวมต่อหน้าหญิงชราที่เพิ่งช่วยชีวิตสามีที่กำลังจะตายเอาไว้
“ก็นั่นแหละ นั่นคือ ทายาทของเธอ ท้ายที่สุดมันก็เป็นการตัดสินใจของพวกเธอทั้งสี่คน นับแต่นี้พวกเธอจะต้องเรียนรู้ขั้นตอนการรักษา และเฮงจะต้องได้รับการรักษา สำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาซึ่งอาการแบบนี้จริง ๆ แล้วมันไม่มีทางรักษาได้เลย
ดาปล่อยให้ตัวเองทรุดตัวลงพิงเสาหลังคา และหลับตาราวกับว่าเธอกำลังปิดหนังสือ และอ่านจบแล้ว ครอบครัวมองไปที่เธอ แล้วต่างก็สงสัยว่าพวกเขาจะผ่านเรื่องราวนี้ไปได้อย่างไร
ในขณะที่ป้าดาดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ หรือเคลิ้มไป แต่อีกสามคนก็ถกเถียงกันว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป
“เอาแบบนี้” วรรณกล่าว “เราไม่สามารถหาเลือดจากคนในท้องถิ่นได้มากพอใช่หรือไม่ พวกเขาส่วนใหญ่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของพวกเขา อย่างดีก็ให้เลือดได้นิดหน่อย และเราไม่สามารถซื้อจากพวกเขาได้”
“เราสามารถขอบริจาคได้จากคนมาเที่ยว และนำเลือดจากพวกเขาใส่ขวด และเก็บไว้ในตู้เย็น… ” เด่นกล่าว
“เราไม่มีคนมาเที่ยวที่นี่เยอะนักนี่ เด่น” แม่พูดพร้อมเจาะปาก
“เราจะพยายามทำค็อกเทลจากเลือดสัตว์ต่าง ๆ และเราทุกคนสามารถบริจาคเลือดได้เดือนละหนึ่งไพน์” ดินช่วยกันนะ
“อืม ฉันไม่รู้ว่าคนคนหนึ่งสามารถให้เลือดได้เท่าไหร่ต่อปี แต่สิบสองไพน์ ฟังดูเยอะมากสำหรับฉัน คิดดูดี ๆ นะ”
“บางทีทุกคนในเครือญาติอาจจะต้องเตรียมที่จะบริจาคเลือดอย่างต่อเนื่อง ถึงอย่างไรพ่อของเธอก็เป็นที่รักของคนละแวกนี้นะ… ”
“เราสามารถเสนอซื้อเลือดทั้งหมดจากคนที่ตายแล้ว” เด่นเสนอความเห็น
“ฉันคิดว่า เธอต้องเอาเลือดออกจากร่างกายให้ได้ก่อนตาย ไม่อย่างนั้นหากหัวใจหยุดเต้น และจะไม่สามรถอะไรที่จะสูบออกมาได้”
“เราสามารถยกเท้าพวกเขาขึ้น และใส่ท่อไว้ที่คอหอย… หรือที่หัวใจ… หรือทั้งสองอย่างได้ไหม”
“ฉันรู้ ดังนั้นเมื่อมีคนเฒ่าคนแก่บางคนที่เรารักตายลง และทุกคนจะต้องมีการร้องไห้ เธอคิดว่าเราจะทำได้เร็วปานนั้นก่อนที่จะมีอาการตัวเย็น แล้วถามว่าเราจะมัดเท้าแล้วระบายเลือดใส่ถังให้พ่อดื่มทีหลังอย่างนั้นหรือ เฮ้อ
“เราจะทำได้ดีแค่ไหน เธอคิดว่าจะแย่ลงไหม”
“เราสามารถยื่นข้อเสนอบางอย่างไปก่อน… ”
“อย่าแม้แต่จะแนะนำสิ่งที่เลวทราม และโง่เขลาแบบนี้เลย!”
“เด็กทารกเป็นยังไงบ้าง… ไม่นะ เอ่อ” เด่นพูดแล้วก็เงียบลง คำแนะนำทั้งหมดของเขาถูกปฏิเสธจนถึงตอนนี้
“โดยสรุปจนถึงตอนนี้เราต้องทำอันดับแรกคือ รวบรวมเลือดจากสมาชิกในครอบครัว และอย่างที่สอง ทำค็อกเทลเลือดสัตว์ ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่
“มีอะไรอีกไหม”
“พวกเราสามารถทำได้… ไม่ บางทีอาจจะไม่… ” เด่นกล่าว
“มานี่ก่อน ออกมาเถอะ โง่หรือนั่น” แม่ของเขาพูด” เราไม่มีทางเลือกและต้องพิจารณาทุกทางเลือก”
“งั้นฉันอาจจะเป็นมุสลิมก็ได้… จากนั้นฉันก็สามารถมีภรรยาสี่คน และนั่นจะช่วยหาคนบริจาคเลือดได้อีกสี่คน… และถ้าพวกเขามีลูกอีกคนละสี่คน นั่นก็จะมีคนบริจาคอีกสิบหกคน และ… ”
“ได้ ตามนั้นเด่น ขอบคุณสำหรับความคิดนั้น! ฉันหวังว่าฉันจะไม่ถามตอนนี้… สิ่งต่อไป เธอจะแนะนำให้น้องสาวเธอทำ และหาเลือดอีกสองไพน์!”
ดินเลือดขึ้นหน้าอย่างสุดขีดในความคิดนั้น และตกใจที่แม่ของเธอพูดมาแบบนั้น แต่แล้วเด่นก็พยักหน้ากับความคิด จนวรรณได้เตะเขา
“เท่าที่ฉันเห็นเรามีอีกสองปัญหาที่เรายังไม่ได้พิจารณา” ดินกล่าว “ป้าดาบอกว่าจริง ๆ แล้ว พ่อต้องเห็นด้วยกับวิธีการของเรา เพราะเขาเป็นคนดื่ม และเราต้องการอีกในวันพรุ่งนี้”
“เราอาจจะใช้มิลค์เชคเลือดแพะอีกสำหรับพรุ่งนี้ แต่กระนั้นพ่อของเธอดูเหมือนจะชอบรสไก่มากกว่า แต่ก็ใช่ เธอพูดถูก เราต้องทำอย่างสม่ำเสมอกว่านี้ เราสามารถถามป้าเรื่องนี้ในภายหลัง สำหรับพ่อของเธอ เขาจะต้องกินทุกอย่างที่เราเอาให้เขา และต้องขอบคุณกับมันจนกระทั่งเขาจะแข็งแรงพอที่จะแยกแยะความต้องการด้านอาหารของตัวเองได้ แต่ฉันแน่ใจว่าเขาจะขอบคุณที่เธอนึกถึงเขา”
เมื่อทั้งสามคนถอยกลับไปสู่ความคิดเห็นของตัวเองสักสองสามนาที ดา ‘คิดขึ้นได้’
“เธอมีไอเดียใหม่ ๆ บ้างหรือไม่ หรือฉันควรพูดถึงแค่วิธีแก้ปัญหา”
“ไม่นะ ป้า” วรรณเปิดรับ“ เด่นมีไอเดียตามจินตนาการอยู่สองสามอย่าง แต่ก็ไม่สามารถเป็นไปได้จริง ๆ น่าเสียดายที่เราเหลือเพียงข้อเสนอเดียวกับที่ป้าทำเมื่อหลายชั่วโมงก่อน”
“ใช่ ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่เธอจะพูด แต่พูดตามตรงว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ง่าย ๆ เห็นด้วย ฉันว่าจะทำสมาธิปล่อยวางสักหน่อย แต่มันก็สายเกินไปสำหรับบ่ายนี้ และฉันก็เริ่มเหนื่อย ลูกของเธอจะพาฉันไปบ้านได้ไหม และเราทุกคนก็สามารถคิดแลดตัดสินใจเกี่ยวกับมันได้ใช่ไหม”
พวกเขารอให้เด่นกลับมาก่อนทานอาหารค่ำ ตรวจดูสัตว์เลี้ยง พาพวกมันไปอาบน้ำ และใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของวันด้วยกันก่อนเข้านอนให้เร็วขึ้น เพราะความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน อย่างไรก็ตามความจริงของเรื่องก็คือ ไม่มีใครอยากขึ้นไปชั้นบนตามลำพังที่ซึ่งมีแวมไพร์อยู่ที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงอยากขึ้นไปพร้อมกันหมด
วรรณไม่ได้อยากจะนอนกับเขาเสียด้วยซ้ำ แต่เธอรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ ดังนั้นการเป็นคนที่อาวุโสที่สุดจึงเป็นผู้นำเทียนพาลูก ๆ ที่หลบหลังฝ่าความมืดท่ามกลางความกลัวจนตัวสั่น
พวกเขาหยุดที่เตียงแต่งงานและจ้องมอง เฮงนั่งตัวตรงอยู่บนเตียง ผิวซีดเซียวและดวงตาแดงกร่ำเปล่งประกายในความมืด
“สวัสดีตอนเย็นทุกคนในครอบครัว!” เขาพูดด้วยเสียงต่ำและแหบห้าว
ทั้งสามคนขึ้นไปบนเตียงตามลำดับ แต่ไม่อาจละสายตาจากเฮงที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวได้ แต่มีเพียงสายตาจ้องมองออกไปข้างหน้าของตัวเอง

1 3 ผีปอบเฮง
พวกเขาได้ตื่นมาในตอนเช้าจากการเผลอหลับไปจากอาการเหนื่อยล้า เฮงห่มผ้าเรียบร้อยและหนุนหมอนสูง
ทุกคนลุกขึ้น และลงไปข้างล่างทันทีเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยเดินผ่านเตียงเขาไปอย่างรวดเร็ว
“โว้ว แม่ เห็นพ่อเมื่อคืนนี้ไหม” เด่นถาม “ดวงตาของเขา และผิวของเขาสว่างจ้าอยู่ในห้อง แต่ทว่ามันเป็นดวงตาของเขาจริงหรือ มันเคยเป็นสีดำบนพื้นสีขาวเหมือนเรา แต่ตอนนี้พวกมันเป็นสีแดงบนพื้นสีชมพู… ฉันคาดว่า… คงเป็นเพราะเลือดทั้งหมดนั่นแน่ ๆ
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ลูกเอ้ย แต่แม่คิดว่าลูกพูดถูก เธอคงต้องหามันเพิ่มอีก และพาน้องสาวเธอไปกับเธอด้วยเพื่อไปเอานมมาเพิ่มอีก เธอจำวิธีการที่ป้าเอาเลือดได้ไหม
“ได้ครับแม่ ผมคิดว่าจะเอามันจากเจ้าแพะตัวผู้ดีไหม เพื่อให้มันเป็นตัวสุดท้ายที่จะเอาใช้รักษาได้
“ดี เป็นความคิดที่ดี เด่น ใช้เลือดแพะที่ต่างกันในแต่ละวัน และดินก็สามารถรีดนมตามปกติได้ในทุกวัน ในเวลานี้นมแพะทั้งหมดจะใช้สำหรับพ่อของเธอ ตกลงไหม เขาต้องการมันมากกว่าที่พวกเราหาได้ และเราไม่ต้องการให้เขาหิวในตอนดึกใช่ไหม”
“ไม่นะ แม่ ไม่เด็ดขาด! ฉันต้องใช้เวลานานมากกว่าจะได้นอนเมื่อคืนนี้ ฉันกลัวจนตัวแข็งถ้าพ่อจะออกมาเอาเอง และเริ่มเดินเข้าไปมองหาอะไรกิน หรือใครบางคน”
“เธออย่ากังวลเรื่องนั้นตอนนี้เลยเด่น ฉันอยู่ใกล้มากกว่าเธอ ถ้าเขาจะมาก็ต้องเจอฉันก่อนแต่ถ้าเห็นความเหี่ยวเฉาและผิวหนังซีด ๆ บนเตียงนั่น ก็หลีกเลี่ยงไปสิ เช่นเดียวกันถ้าในตอนเช้าเธอเห็นดวงตาสีแดงสี่ดวงมองเธอผ่านมุ้งจากด้านหลังในเช้าวันหนึ่ง”
“พนันกันได้เลย แม่! ฉันจะไป และเอาเลือดนั่นเดี๋ยวนี้เลย ดินอยู่ที่ไหน”
“ฉันไม่รู้ บางทีเธออาจจะออกไปแล้ว ไปทำหน้าที่ของเธอเถอะ และฉันจะเอามอเตอร์ไซค์ไปรับป้าดา ฉันคิดว่าเรายังต้องการความช่วยเหลือสำหรับพ่อของเธอ เธอและน้องสาวของเธอรอฉันกลับมาก่อนนะ ก่อนที่จะขึ้นไปหาพ่อได้ไหม”
“ได้สิ แม่ ไม่จำเป็นต้องบอกถึงสองรอบหรอก แต่เราจะทำยังไงหากเขาเดินลงมา”
“ฉันไม่คิดว่าเขาจะลงมา…เขาหลับไปเร็วมากตอนที่ฉันลุกจากเตียง แต่เราจะอยู่ได้ไม่นาน ถ้าคิดว่าเขาจะตื่นขึ้นมา แค่อย่าให้เขาจูบอรุณสวัสดิ์เท่านั้นเอง”
วรรณกลับมาภายในสิบนาทีหลังจากนั้นพร้อมกับดา ซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะของตัวเองเพื่อรอการมาเยี่ยมเฮงของคนในครอบครัวเฮงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อพวกเขากลับมา เฮงยังไม่ลงมา ดินรวบรวมนมมา และเด่นก็เกือบจะพร้อมแล้ว
“เอาล่ะ” ดากล่าว “ตอนนี้ฉันแนะนำให้เอานมแพะกับเลือดมาอย่างละครึ่ง และใบโหระพา 1 ช้อนชา เม็ดผักชีครึ่งหนึ่ง และโรยลงไป คนมันให้เข้ากัน และอยู่ตรงนั้นก่อน ให้เขาดื่มครึ่งลิตรในตอนเช้า และทำเช่นเดียวกันในเวลาก่อนนอน นั่นน่าจะเพียงพอแล้วในตอนนี้ โอ้ แล้วอย่าให้กระเทียมเขาอีกนะ มันแย่มากสำหรับแวมไพร์! ไปกันเถอะ ไปหาเขาตอนนี้เลย”
“ก่อนที่เราจะไปขึ้นไป ป้าดา ฉันควรจะบอกป้าว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนั่งตัวตรงบนเตียง ส่องแสงแวววาวราวกับสัญญาณไฟพร้อมกับผิวซีดเผือด ด้วยดวงตาสีชมพูที่มีลูกกะตาสีแดง โอ้ และเมื่อเขาพูดกับเรา! โอ้ พระเจ้า! ฉันไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นมาก่อน เขาพูดว่า “สวัสดีตอนเย็นทุกคน” ด้วยน้ำเสียงทุ้ม ๆ แปลก ๆ … มันช่างน่ากลัวจริง ๆ”
“ตอนนี้ยังไม่เป็นไร… ไปกันเถอะ และไปดูเขาก่อน”
พวกเขาไปข้างบนพร้อมขวดมิลค์เชคและเข้าไปในห้อง บานประตูหน้าต่างทั้งหมดถูกปิดลง ดังนั้นด้านในจึงมืดสนิท วรรณก้าวออกไปข้างนอกอีกครั้ง หยิบเทียนจากเชิงเทียนจุดไฟด้วยไฟแช็คที่ห้อยจากเชือกใกล้ ๆ แล้วกลับเข้าไปในห้องเพื่อสมทบกับดา ซึ่งเข้าไปใกล้เตียงที่เฮงนอนอยู่
แสงเทียนเผยให้เห็นว่าไม่มีอะไรใหม่ สาว ๆ จึงผูกมุ้งและนั่งลงข้างเตียงทั้งสองข้าง วรรณดึงผ้าคลุมกลับ และเขานอนหงายเปลือยกาย อยู่ที่นั่น กางแขนออกกว้างเหมือนพระเยซูบนไม้กางเขน ลูกตาเบิกโพรงสีแดงกล่ำเข้มสองดวงในเม็ดอัลมอนด์สีชมพูอยู่บนหน้ากากที่แสนน่ากลัว ริมฝีปากของเขามีริ้วเล็ก ๆ สองเส้นรอบปากของเขา
วรรณมองดาที่กำลังศึกษาคนป่วยด้วยความสงสัย เธอวางหลังมือไว้บนหน้าผากของเขา และไม่แปลกใจเลยที่พบว่ามันเท่าอุณหภูมิในห้อง
“วันนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง เฮง” ผู้เป็นภรรยาถาม
“หิว… ไม่กระหาย” เขาพูด คำพูดดังออกมาจากปากของเขาเหมือนก้อนหินที่ตกลงไปบนโขดหินในเขาที่ดังกึกก้อง
“เอาล่ะ ที่รักของฉัน ลุกขึ้นนั่งเถอะ เรามีมิลต์เชคที่ดีเยี่ยมอีกมากสำหรับคุณ”
เธอจัดหมอนใหม่สำหรับเขา ช่วยให้เขาลุกขึ้นนั่ง และห่มผ้าให้เขา
“ดื่มนี่สักหน่อยนะที่รัก” วรรณบอก” มันเป็นรสชาติที่เธอชอบแบบเมื่อวานเลย”
ดาเทลงในแก้วน้ำ และเอาฟางข้าวใส่ลงไปให้เขา เฮงดื่มของเหลวสีชมพูที่มีฟองสมุนไพรสีเขียวลอยขึ้นมาไปสองแก้ว เขาถูกดึงให้นั่งตัวตรง และเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้มองไปรอบ ๆ เป็นครั้งแรก
“เธอชอบไหมล่ะ เฮง” ดาถามขึ้น “ฉันเห็นว่าตอนนี้เธอมีชีวิตชีวากว่าตอนที่เราเข้ามาก่อนนี้มาก เธอคิดว่าเธอจะสามารถลงมาข้างล่างได้ในวันนี้ไหม แสงอาทิตย์ที่สาดส่องอาจทำเธอดีขึ้นมาบ้าง… เธอดูซีดไปหน่อย… เธอไม่คุ้นเคยกับการอยู่ข้างในแบบนี้ใช่ไหม”
เฮงมองไปที่เธอราวกับว่าเธอพูดภาษาต่างประเทศ แล้วก็มองมาที่ภรรยาของเขา
“เธอต้องการจะไปห้องน้ำไหม เฮง ผ่านมาสักพักแล้ว เธอรู้สึกดีขึ้นที่จะลงไปด้านล่างหรือไม่ เธอต้องการจะไปที่ห้องน้ำตอนนี้ หรือจะให้ฉันเอาถังขึ้นมาให้เธอ”
“ดีเลย เป็นความคิดที่ดี ฉันอยากจะเข้าห้องน้ำข้างล่าง แต่ก่อนอื่นขออีกมิลค์เชคอีกสักหน่อย”
เนื่องจากผู้หญิงทั้งสองคนไม่ทราบว่าเขาควรรับปริมาณเท่าไร พวกเขาจึงปล่อยให้เขาดื่มมากเท่าที่เขาต้องการ และเฮงก็ดื่มจนหมดทั้งลิตร
ดานั่งเอาหลังพิงและเฝ้าสังเกตอาการ ในขณะที่วรรณช่วยใส่เสื้อผ้าให้เขา ดูเหมือนมิลค์เชคจะแสดงผลแล้ว เฮงมีความกระปรี้กระเปร่าขึ้น
“เอาล่ะที่รัก มาแต่งตัวแล้วลงไปข้างล่างกันเถอะ”
พวกผู้หญิงจับแขนคนละข้าง และช่วยชายที่ตัวสั่นระริกไปจนถึงเท้า เขาเหมือนจักรยานที่มีล้อโคลงเคลง เมื่อทั้งสองพาเขาออกไปที่ลานด้านนอก เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเจอแสงจ้า แต่จะมีใครที่ไม่เป็นบ้าง หลังจากใช้เวลาหนึ่งวันครึ่งในห้องมืด ๆ เด่นและดินมองไปที่พ่อของเขาที่ลงบันไดมา เหมือนผู้ป่วยติดเหล้าที่ได้รับความช่วยเหลือจากป้า และภรรยาของเขา
พวกเขาตกใจมากที่เขาดูอ่อนแอ และแตกต่างจากเดิมมาก จริง ๆ เฮงเป็นคนผอมบางอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขาผอมแห้งขาวราวกับหิมะ และมีอัลมอนด์สีแดงสองลูกเป็นตา พวกเขาก้าวไปข้างหน้า เมื่อเฮงหยุดพักพิงที่โต๊ะเพื่อหายใจ
“เด่น เธอยังพอมีแว่นกันแดดเก่า ๆ อยู่บ้างไหม ฉันคิดว่าพ่อของเธอต้องการมันวันนี้ เพราะว่าดวงตาเขาไวต่อแสงนิดหน่อย”
ดาพูดว่า “เธอสามารถเอาเฮงไปที่ห้องน้ำคนเดียวได้ไหมวรรณ หรือเธอต้องการให้เด่นไปช่วยเธอไหม”
“ไม่ ฉันคิดว่าฉันสามารถจัดการเองได้”
เธอพาเฮงออกไป เฮงใช้มือข้างที่ว่างบังสายตาของตัวเอง หลังจากนั้นสิบห้านาทีเมื่อพาเขากลับมาที่โต๊ะแล้ว เขาดูเหนื่อยจากความพยายาม
“ดินขึ้นไปชั้นบน แล้วช่วยเอาผ้าปูที่นอนกับหมอนมาให้หน่อยได้ไหม วันนี้พ่อเธอจะลงมาพักผ่อนด้านล่างเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ และแสงแดด เขาไม่เคยใช้เวลามากเกินไปข้างในนี้ในชีวิตของเขาเลย ดังนั้นร่างกายของเขาไม่คุ้นเคยกับมัน ดูสภาพเขาสิ… ”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฮงมองคนสนทนากันไปมา แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจบทสนทนาสักเท่าไหร่ พวกเขาช่วยทำให้เฮงสบายขึ้นด้วยชุดเครื่องนอน และเด่นเอาแว่นกันแดดที่มีเลนส์สะท้อนแสงสีดำสนิทที่เขามีอยู่ให้ ซึ่งเขาเองภูมิใจมากเมื่อหลายปีก่อนตอนที่มันกำลังฮิต
ผลที่ตามมาคือ เฮงดูเหมือนนกประหลาดตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนหลังคาแล้วสวมแว่นตา และถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาว
“เอาล่ะ ฉันคิดว่าดีขึ้นแล้ว และเธอควรจะไปเตรียมมิลค์เชคสำหรับพ่อของเธอได้แล้ว เขาดูเหมือนจะหิวมากวันนี้ และนั่นเป็นสัญญาณที่ดี มันแสดงว่าเรากำลังทำอะไรที่ถูกทางอยู่!”
“วันนี้พ่อรู้สึกดีขึ้นมากใช่ไหม”
พวกเขาทุกคนรอปฏิกิริยาโต้ตอบของเขา จากนั้นเขาก็พยักหน้าดูราวกับนกเค้าแมวอย่างไม่น่าเชื่อ เด่นและดินพากันหัวเราะ พบว่ามันยากมากที่จะเปรียบสิ่งมีชีวิตบนโต๊ะอาหารกับพ่อของพวกเขาเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงที่แล้ว
“ป้าคิดว่าฉันจะทำอาหารให้เฮงทานในเย็นนี้หรือเปล่า ป้าดา”
“มันก็ไม่ส่งผลต่อเขา ถ้าเขาจะกิน แต่มันก็ไม่มีอะไรทดแทนมิลค์เชคได้”
“เฮง เธอต้องการจะกินบางอย่างกับพวกเราทีหลังไหม”
เฮงโยกหัวจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง และจ้องมองไปที่ภรรยาของเขา
“เธอจะทำอาหารอะไรในคืนนี้ วรรณ” ดาถาม
“ไก่หรือหมู… อะไรก็ได้ที่เขาชอบ”
เฮงยังคงมองจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งเหมือนคนในประเทศที่เขาไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน
“ทำไมไม่ถามเขาล่ะ เขาไม่ได้กลายมาเป็นคนโง่ หรืออย่างน้อยฉันไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปเลย”
“เธอต้องการจะกินอะไรเย็นนี้ เฮง หมูหรือไก่”
เขามองมาที่เธอสักพัก แล้วบอกว่า:
“ลูก…”
“คนไหนนะ ยังไงก็แล้วแต่ เฮง เธอไม่สามาถกินลูกได้… มันไม่ถูกต้อง”
“ไม่ใช่ลูกของเรา… ลูกแพะ… เรายังพอมีสักสองสามตัวหรือไม่” เฮงถาม
“มีสิ เรายังคงพอมีอีกบ้าง แต่ฉันคิดว่าเรากำลังจะเอามันไปรวมกับฝูง”
“แค่ลูกแพะตัวเดียวเอง”
ได้ เอาล่ะ ตกลง เฮง เห็นว่าเธอป่วยอยู่นะ ฉันจะทำเนื้อลูกแพะหั่นให้คืนนี้ และพวกเราที่เหลือจะทานหมูกัน”
“ฉันต้องการบาร์บีคิวไม่สุกมาก ไม่ใช่แกงนะ วรรณ ฉันอยากได้เนื้อบางส่วน เนื้อแดงแท้ ๆ
เด็ก ๆ รู้สึกโล่งใจที่สุดที่พ่อของพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะกินพวกเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาที่ดูเหมือนว่าเฮงต้องไปนอนหลับรออาหารเย็นของเขา เด่นถามแม่ของเขาว่าวันหนึ่งเขาจะอยากกินพวกเขาไหม
โอ้ ฉันไม่ควรคิดอย่างนั้น เด่น ไม่ใช่ว่าเราจะต้องทำตามใจเขา ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ว่ามันคืออะไรไง”
“ป้าดา ป้าคิดว่าอย่างไรกับเงื่อนไขของเฮง”
“ฉันคิดว่ามันน่าสนใจมาก… น่าสนใจมากจริง ๆ เธอจะสังเกตว่าเมื่อวาน เฮงได้เคาะประตูแห่งความตายอยู่ แต่ตอนนี้เขากลับกลายมากระฉับกระเฉงขึ้นมากภายในเวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียว แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นเฮงคนเดิมที่เราเคยรู้จักและรักมากก็ตาม”
“เราจะต้องดูว่าเฮงคนใหม่นี้จะออกมาเป็นอย่างไร หรือบางทีเราอาจจะเอาคนเก่ากลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อเขาคุ้นเคยกับการบริโภคอาหารแบบใหม่ของเขา และฟื้นตัวจากช่วงเวลาขาดเลือดที่แท้จริงในตัวเขา”
“การเดาของเธออาจจะไม่ดีเท่าฉัน แต่ฉันยอมรับว่าฉันกำลังอยู่ในดินแดนแห่งใหม่ที่นี่ และกำลังเล่นเกมนี้ด้วยการใช้หู และด้วยคำแนะนำบางอย่างจากเพื่อนเจตภูตของฉัน แม้ว่าจะมีคนบอกว่ามันจะดีกว่าที่จะเป็นผู้มีเมตตาที่ไม่ฆ่าเขา และปล่อยให้เขาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง”
“เธอคิดอย่างไรกับคำแนะนำนั้น วรรณ”
“เอ่อ พูดตามตรงฉันคิดว่ามันค่อนข้างจะร้ายแรงอยู่ไม่ใช่เหรอป้าดา”
ใช่ ฉันคิดแบบนั้น ฉันจะเห็นด้วยกับเธอนั่นคือทำไมฉันถึงยังไม่ได้แนะนำมัน แต่มันยังคงเป็นตัวเลือก หากมันเกินความสามารถ
ในการสนทนานี้ ดูเหมือนว่าเฮงกำลังจะหลับ แต่เธอไม่ได้ตรวจสอบ
“คุณคิดว่าเขาทนทุกข์กับความเจ็บปวดไหม ป้าดา”
“เขาดูเหมือนสงบมาก… ใช่ไหม เขาพูดได้อีกครั้งตอนนี้ และยังไม่ได้พูดว่ารู้สึกไม่สบายใด ๆ เลย ดังนั้นฉันจะคงไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องของสภาพทางกาย ถ้าฉันเป็นเธอนะ แต่เธอรู้จักเขาดีกว่าคนอื่น ดังนั้นมันเป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องมองหาสัญญาณทางความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง และรายงานให้ฉันฟัง แล้วเราค่อยคุยกัน”
“ได้ค่ะ ป้าดา ฉันจะทำมัน ฟังนะ ถ้าเธอมีอย่างอื่นที่ต้องทำ อย่าปล่อยให้เรารั้งเธอไว้ เด็ก ๆ ทำทุกอย่างได้วิเศษมาก พวกเขาเข้ามาดูแลงานบ้านทั้งหมดของเราเพื่อที่ฉันจะได้นั่งกับเฮง แต่ถ้าป้าต้องการกลับบ้าน ฉันสามารถไปส่งป้าได้ เราทุกคนรู้สึกซาบซึ้งใจสำหรับความช่วยเหลือของป้า เฮงอาจจะตายถ้าไม่มีป้า และเราทุกคนตระหนักในเรื่องนี้ดี ถ้ามีอะไรที่เราสามารถทำเพื่อป้าได้ หรืออะไรทั้งหมดที่ต้องทำบอกเราได้เลยนะคะ”
“ได้สิ ขอบใจ วรรณ บางทีฉันจะกลับบ้านไปสักสองสามชั่วโมง แต่ฉันอยากจะเห็นเฮงทานเนื้อลูกแพะก่อน ดังนั้นถ้าฉันสามารถจะทานข้าวกับเนื้อหมูพร้อมพวกเธอคืนนี้ มันคงจะดีนะ”
“สำหรับค่าใช้จ่าย ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้นในตอนนี้นะ เฮงเป็นหลานชายคนโปรดของฉัน และฉันคงไม่ชอบที่จะเห็นอะไรที่เกิดขึ้นกับใครก็ตาม ถ้ามันสามารถทำได้ภายใต้การควบคุมของฉันเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น”
“ฉันสามารถเดินกลับบ้านและเดินกลับมาเองได้… จะทานข้าวกันกี่โมงล่ะ”
“เจ็ดถึงเจ็ดโมงครึ่งเหมือนเดิมตามปกติค่ะ แล้วยินดีต้อนรับป้าเป็นที่สุด”
“โอเค ฉันจะออกไปตอนนี้เลยนะ แล้วเจอกันตอนทุ่มนึง ไปก่อนนะ”
“แล้วเจอกันค่ะ ป้าดา และขอบคุณอีกครั้งสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง”
เมื่อดาออกไปแล้ว วรรณรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอยู่คนเดียวกับสามีของเธอ มันเป็นครั้งแรกตั้งแต่เฮงล้มป่วย ขณะที่เด่นนำแพะลงไปที่ลำธาร และดินที่กำลังดูแลแปลงผักของครอบครัวอยู่ วรรณต้องการที่ไปบอกให้เด่นว่าเขาจะต้องฆ่าและเป็นคนเชือดลูกแพะที่วิ่งเล่นกับแม่ของมันในฝูง แต่เธอก็ไม่กล้าจะทิ้งเฮงไว้เพียงลำพัง ดินเป็นเพียงคนเดียวที่จะไปได้ ดังนั้นเธอก็หวังว่าดินจะกลับมาทานกลางวัน แต่โดยปกติแล้วเธอก็ทำเช่นนั้น วรรณจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเฮงจะได้กินสเต็กเนื้อ
เธอพยายามพูดกับเขา และก็ไม่มีใครได้ยิน เธอจึงใช้การแสดงความรัก
“เฮงที่รัก เธอตื่นหรือยังที่รัก เราทั้งหมด… และฉันเป็นห่วงเธอมาก… ได้โปรดตอบฉัน ถ้าเธอได้ยินฉัน”
“แน่นอน ฉันเพิ่งได้ยินเธอเมื่อตอนฉันตื่น แต่ฉันก็เผลอหลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า มัด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงใหม่ที่ต่ำ และดังก้อง “และฉันคิดว่าตอนนั้นฉันพลาดบางสิ่งไป โดยทั่วไปแล้วฉันรู้สึกดีขึ้นมาก แค่รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย ฉันกำลังตั้งตารอทานอาหารเย็น
“ตอนนี้กี่โมงเเล้วนะ”
“สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า เราจะทานอาหารกลางวันกันในอีกสักครู่ เธอต้องการอะไรไหม”
มันมีอะไรบ้างล่ะ”
“โอ้ สลัด…”
“บ๊ะ อาหารกระต่ายหรอกหรือ!”
“แต่ แต่คุณเคยชอบผักสลัดสีเขียวมากนะเฮง… ”
“ฉันเคยชอบด้วยหรือ ฉันนึกไม่ออกเลย และก็จำไม่ได้ว่าชอบมัน”
“แล้วไข่เจียวล่ะ”
ได้นะ ฟังดูดีกว่า เธอช่วยผสมมิลค์เชคให้หน่อยได้ไหม”
“ได้สิ ที่รัก ทำไม่จะไม้ได้ล่ะ ฉันพอมีอยู่ แล้วค่อยเตรียมสำหรับมื้อเย็นทีหลัง
“เราจะรอดินอีกสามสิบนาที ดูว่าเธอจะกลับมาหรือไม่ ฉันต้องการให้เธอไปบอกเด่นให้ฆ่าลูกแพะสักตัวเอาไว้ให้เธอ”
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ดินก็หยิบมีดสองสามเล่ม และถุงใส่เนื้อ และกระติกสำหรับใส่เลือดให้พี่ชาย เพื่อที่เขาจะได้ทำภาระกิจอันน่ากลัวของเขา จากนั้นดินก็กลับไปที่แปลงผัก
“เธอดูเหมือนจะชอบไข่เจียวใช่ไหม เฮง”
ใช่ มันดีต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยสารอาหาร อุดมไปด้วยโปรตีน”
วรรณวนเวียนอยู่รอบ ๆ เฮงตลอดบ่าย หั่นผัก และทำน้ำพริก ซอสพริก แต่เฮงก็ไม่พูดอะไรอีกเลย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะนอนพักกลางวัน หรืออาจจะงีบหลับช่วงบ่ายหลังจากรับประทานอาหารมื้อแรกในเวลาสองสามวัน
ดินกลับมาเป็นคนแรกในตอนเย็นพร้อมด้วยตะกร้าผัก และสมุนไพรสำหรับทำอาหารในวันถัดไป เด่นมาถึงในเวลาต่อมาเพียงเล็กน้อย และยื่นถุงเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าเรียบร้อย และกระติกเลือดจากแพะที่ตายให้แม่ของเขา
“ฉันจะต้องไป และทาเกลือลงบนผิวมันเลยใช่ไหม แม่ ฉันขูดหนังมันเหมือนที่พ่อเคยทำให้ดูแล้ว ฉันจะกลับมาอีกยี่สิบนาที”
“ไม่ต้องรีบไป เรายังมีเวลาอีกมาก เธอต้องอาบน้ำก่อนหลังจากเชือดแพะมา ก่อนที่จะมาที่โต๊ะอาหารด้วยนะ”
“แน่นอนครับแม่…”
“อืม มิลค์เชค ฉันได้กลิ่นหอมของมิวล์เชค… ” เฮงคนมันพร้อมกับบ่นงึมงำ
“ใช่ เฮง มิลค์เชค…มัดจะทำมิลค์เชคให้เธอทีหลัง แต่ก่อนอื่นต้องทำอาหารก่อนที่ป้าเธอจะมาถึงที่นี่
วรรณกระซิบบอกดิน” ฉันเชื่อว่าเขาสามารถได้กลิ่นเลือดแพะหรือเนื้อสัตว์ ดูจมูกของเขาสิ กระตุกเหมือนแม่มดเลย ใครจะไปเชื่อว่าอาทิตย์ก่อนหน้านี้ เราจะมีชีวิตได้แบบนี้”
วรรณนำเนื้อส่วนที่เหลือแช่ในช่องแช่แข็ง แล้วเอาเนื้อสำหรับเฮงออกไปหั่นให้เพียงพอที่จะไม่ให้กลิ่นเลือดไปรบกวนเขา และทำงานบ้านต่อไป เฮงกลับไปนอนหลับเหมือนของเล่นไขลานที่ลานอ่อน
ตอนหกโมงสี่สิบห้า วรรณเอาผักที่หั่นแช่น้ำขึ้นจากน้ำให้สะเด็ดน้ำ ติดไฟในถังที่พวกเขาใช้ปรุงอาหารบนบล็อกคอนกรีตเก่าที่อยู่บนโต๊ะ และเติมถ่านไปอีกสองสามก้อน คืนนี้พวกเขาจะทานหมูย่างของโปรดของเด็ก ๆ
อุปกรณ์สำหรับการทำหมูย่างนั้นเรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพ มันเป็น “จาน” โลหะที่มีลักษณะคล้ายกับเครื่องคั้นน้ำส้มสมัยก่อน รางรอบถูกเติมน้ำลงไปสำหรับต้มผัก และเส้นหมี่ที่ทำจากข้าว และย่างเนื้อสัตว์บนส่วนที่นูนคล้ายภูเขา ทุกคนปรุงอาหารของตัวเอง และเติมให้กันและกันเพื่อให้มันยังคงเป็นมื้ออาหารที่ทานร่วมกัน
เมื่อดามาถึงราวทุ่มสิบนาทีพอดิบพอดี วรรณจึงให้ดินไปเอาเนื้อจากตู้เย็นใต้ถุนบ้านออกมา เมื่อเธออยู่ห่างจากโต๊ะไม่เกินสิบหลา เฮง “กลับมามีชีวิตอีกครั้ง” จมูกเริ่มกระตุกได้
“อืม มิลค์เชคล่ะ!”
“รอก่อนสิ เฮง มิลค์เชคเอาไว้ทีหลัง ทานเนื้อลูกแพะย่างก่อน”
“อืม เนื้อลูกแพะย่าง อร่อย ไม่สุกมาก… ”
ดารู้สึกทึ่งและบันทึกไว้ในดวงจิต
เมื่อวรรณใส่เนื้อบนถาดย่าง เฮงถอดแว่นกันแดดออกเพื่อให้มองชัดขึ้นท่ามกลางแสงที่มืดลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาส่องประกายเหมือนสัญญาณเตือนไฟสีแดงวาว ทำให้เด็ก ๆ ตัวสั่นด้วยความกลัวและความฉงนใจ
ทุกคนที่นั่นจะบอกว่าผักต้ม และเนื้อสัตว์ปรุงอาหารมีกลิ่นหอมมาก แต่เฮงเป็นคนพูดก่อนเสียด้วย
“เนื้อลูกแพะย่างมีกลิ่นหอมมากในตอนนี้! อย่าเผาเลือด เฮงต้องการเนื้อที่ไม่สุกมาก… ที่ไม่มีผัก กลิ่นมันแย่มาก”
“ใช่ เฮง ฉันรู้ ไม่สุกมาก แต่ก็ไม่ดิบ นี่มันยังดิบอยู่ เธอต้องรออีกสักสองสามนาที”
“ไม่นะ มัด ฉันจะกินแบบนี้ ตอนนี้กลิ่นมันหอมมาก แต่ได้กลิ่นน้อยลงไปเรื่อย ๆ ฉันต้องการของฉันเดี๋ยวนี้”
“เอาล่ะ เฮง เอาที่สบายใจ คุณอยากได้ผักกินกับเนื้อของคุณ หรือเส้นหมี่สักหน่อยไหม”
“ไม่ เอาแต่เนื้อ ต้องการเนื้อกระต่าย ไม่ใช่อาหารกระต่าย”
วรรณเอาเนื้อสองชิ้นมาจากเตาไฟ เอาวางบนจานให้เฮงชิ้นหนึ่ง ยื่นและเอามันให้เขา
“ที่อยู่ตรงนั้นน่ะ พ่อ แต่สำหรับฉันมันก็ยังดูน่ากลัวเหมือนมีเลือดติดอยู่เลย พ่อเคยทำเนื้อสุกเหมือนพวกเรามาตลอดนะ”
เฮงเอาจานขึ้นมาดมกลิ่น เขาทำจมูกกระตุกเหมือนกระต่าย จากนั้นเขาก็วางจานไว้บนตักหยิบชิ้นเนื้อด้วยสองมือขึ้นมาดมกลิ่นอีกครั้ง
“หอมมาก” เขาพูด “สุกไปหน่อย แต่ก็อร่อยดี”
เฮงไม่ได้สังเกตว่าทุกคนกำลังพินิจพิเคราะห์ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ในขณะที่เขากัดชิ้นเนื้อเล็กน้อยและเคี้ยวมันด้วยฟันหน้าของเขา อย่างน้อยวรรณก็คาดหวังว่าเขาจะทานเนื้อทั้งหมดในคราวเดียว จากนั้นเขาก็ถือชิ้นเนื้อไว้ในมือข้างหนึ่ง และเอามืออีกข้างฉีกเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆ ออกมา เมื่อเขาได้เห็นเลือดเยิ้มออกมานิดหน่อย เขาได้นำมันใส่ปากแล้วดูด
ครอบครัวของเขามองหน้ากันไปมาด้วยความฉงนกับดวงตาสีเลือดอมชมพูที่กำลังเพ่งมองเนื้อดุจนกเหยี่ยว
“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า” เขาถามพร้อมกับเอียงศีรษะไปทางภรรยาอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอะไรเฮง ไม่ได้มีปัญหาอะไร เป็นเรื่องดีมากที่ได้เห็นคุณกินอาหารแข็งได้อีกครั้งเท่านั้นแหละ เราก็แค่มีความสุขเพื่อคุณไม่ใช่หรอกหรือ ใช่ไหมทุกคน”
“ใช่” พวกเขาแสดงความเห็นด้วยอีกครั้ง แต่ดามีความกังวลใจ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะก็ตาม
“ดีมากเลย! แค่นั้นแหละ” เฮงพูดและกลับไปเลือกอาหารด้วยความเพลิดเพลินอย่างเห็นได้ชัด
เฮงใช้เวลาสามสิบนาทีเต็มในการทานเนื้อหมดไปหกตารางนิ้ว และจากนั้นเขาก็เริ่มแทะกระดูกจนเกลี้ยงและดูดจนแห้งสนิท คนอื่น ๆ พบว่าแทบจะไม่มีสมาธิกับอาหารของตัวเองเอาเสียเลย ผลที่ตามมาคือ รางต้มน้ำแห้งและเนื้อไหม้หลายครั้ง และอาหารจำนวนมากของพวกเขาเสียหายจนกินไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขายังคงกินอยู่ เพื่อจะได้ไม่ต้องทิ้งอาหาร
ตอนที่เขากินชิ้นแรกเสร็จ เฮงเช็ดปากด้วยหลังมือและเสร็จเป็นคนแรกแล้วก็เลีย และดูดมันจนสะอาด ผู้ที่เฝ้าดูอาจเดาได้ว่าเฮงเพิ่งได้รับการปล่อยตัวหลังจากการถูกขังเดี่ยวหลายปีในค่ายกักกันที่ทานเพียงขนมปังและน้ำด้วยปริมาณที่จำกัด ไม่มีใครเคยเห็นคนที่ชอบอาหารของพวกเขามากมายขนาดนี้มาก่อน
“พ่อต้องการอีกชิ้นหนึ่งตอนนี้ไหม” ดินถาม
เฮงเอาแผ่นผ้าที่คลุมบ่าและทำท่าสะบัดขึ้นลง เพื่อพยายามทำให้ตัวเองสบายขึ้น และเด่นก็ช่วยเอาจานออกจากตักของเขาก่อนที่มันจะตกลงไป
“เราจะรอให้ท้องลงก่อน” เฮงพูด “และจากนั้นจะทานต่อ อาหารอร่อยมาก เฮงชอบมันมาก”
เด่นมองไปที่แม่ของเขา และเธอก็รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เฮงพูดภาษาไทยแบบนกพิราบ และไม่มีใครเคยได้ยินการพูดที่แย่ขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าภาษาไทยของเขาจะไม่สมบูรณ์แบบนัก เพราะเขามีพ่อแม่เป็นคนจีน
และคนอื่น ๆ เริ่มทำอาหารให้ตัวเอง และเฮงเริ่มนิ่งอีกครั้ง แล้วก็มีเสียงบดขยี้ที่ไม่ค่อยชัดมาจากตัวเขาอีกครั้ง ทุกคนรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็แสดงออกอย่างสุภาพ ต่างก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วก็ดังมาอีกครั้ง และกลิ่นที่แย่มากก็โชยมา
มีเพียงวรรณและดาที่กล้ามองดูเฮงที่ยิ้มกว้างภายใต้แว่นตาดำของเขา
เด่นเริ่มหัวเราะคิกคัก จากตอนแรกที่เงียบ แต่เขาไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้นาน ดินก็เริ่มหัวเราะออกมา
“เงียบก่อน ลูก! พ่อไม่สามารถควบคุมได้ เขาป่วยอยู่” วรรณบอก “อาหารแข็งต้องผ่านเข้าไปในตัวเขา”
อย่างไรก็ตาม เด่นและดินไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เฮงนั่งลงตรงนั้น ด้วยใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างสำราญใจ อีกไม่กี่นาทีต่อมา กลิ่นก็ยังไม่หายไป วรรณพูดกับเด่น:
“เอาพ่อไปห้องน้ำได้ไหม เด่น เดี๋ยวเขาจะทำความสะอาดตัวเอง ถ้ายังมีปัญหาอะไร แค่ตะโกนแล้วแม่จะไปช่วยเอง
“เฮง เอากางเกงในของเธอใส่ในตะกร้าซักผ้านะ ฉันจะแยกมันออกในวันพรุ่งนี้”
เมื่อถอดมันออกแล้ว วรรณบอก:
“เอาล่ะ ฉันบ้างนะ! โอ้ ฉันบ้างนะ ป้าทำอะไรกับสิ่งนั้น ป้าดา”
“แปลกมากใช่ไหม แต่พฤติกรรมของเฮงทำให้ฉันนึกถึงนก ฉันไม่สามารถวางนิ้วลงบนมันได้ แต่วิธีที่เขานั่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่าเขาเกาะอยู่ และวิธีการกินของเขาด้วยการฉีกกิน… นกก็ทำอย่างนั้น ฉันคิดว่าสัตว์หลายตัวก็ทำเช่นกัน แต่เธอดูไก่ในลานบ้านเธอสิ ฉันไม่สามารถเอามันออกไปจากใจของฉันได้ เขาเกาะพักที่แผ่นผ้าของเขา และสวมแว่นตาหลังจากกินเนื้อไปแล้ว”
“ดังนั้นอย่าคิดว่าเขาจะกลั้นการขับถ่ายได้ใช่ไหม ฉันค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับเตียงของเรา… เราเพิ่งซื้อที่นอนใหม่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา…มันจะน่าเสียดายใช่ไหม ป้าคิดว่ามันจะเป็นอะไรไหมที่เราจะให้เขาอยู่ในโรงนาจนกว่าเราจะแน่ใจ”
“ไม่ ไม่ต้องห่วงหรอก! ไม่มีนกแม้ตัวเดียวอึในรังของมันเอง แม้ว่าเธอต้องการให้เขาใส่ผ้าอ้อมจนกว่าเราจะรู้ว่าเขาดีขึ้น… หรือใส่กางเกงในสำหรับคนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ถ้าพอมี แต่เธอต้องไปซื้อมันในเมืองนะ
ตอนที่เฮงกลับมาพร้อมเด่น เขาดูหงอลงเล็กน้อย รู้สึกอายขึ้นมา
“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม เฮง” ผู้เป็นภรรยาถามเขา
“ใช่ อุบัติเหตุเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีอะไรอีกแล้วในวันนี้ ไปที่เตียงเดี๋ยวนี้”
“ได้ เป็นความคิดที่ดี ป้าดา มิลค์เชคของเขาเป็นอะไร”

“ฉันคิดว่าจริง ๆ แล้วเขาควรจะกินอะไรบางอย่างก่อนไปนอน ไม่ต้องกังวลเรื่องเตียงใหม่ของเธอนะ เขาไม่เคยทำสกปรกแบบนั้นมาก่อน ดังนั้นฉันก็ไม่คิดว่าคืนนี้เขาจะทำเช่นกัน แต่ฉันไม่อยากให้เขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อหาอะไรกิน ถ้าฉันอยู่ในบ้านกับเขา”
“ไม่ เธออาจพูดถูก เด่น เอาพ่อนั่งขอบโต๊ะสักครู่ก่อน ดิน เอามิลค์เชคมาสักแก้วได้ไหม”
เมื่อเขากระดกดื่ม และไม่มีเสียงหรือกลิ่นที่น่าสงสัยออกมา วรรณบอกให้ลูก ๆ พาพ่อเข้านอน
“ฉันจะขึ้นไปในไม่ช้าเพื่อไปดูเขา แต่คิดว่าเขาคงจะนอนหลับแล้วตอนนี้”
“เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ ป้าดา มีอะไรที่ต้องทำคะ ตอนนี้เรามีนกตัวหนึ่งอยู่ในครอบครัว! ป้าคิดเรื่องนั้นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่แน่ใจเลย วรรณ แต่เรื่องตลกของเธอเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีรู้ไหม เราจะต้องรอดูก่อนสิ
“มาดูกันว่าเขาต้องการอพยพไปทางใต้ในช่วงฤดูหนาวก่อนหรือไม่”
วรรณไม่แน่ใจว่าป้าดาพูดติดตลกอย่างนั้นจริง ๆ หรือไม่ ดังนั้นเธอจึงยิ้มอ่อน ซึ่งเธอหวังว่าจะไม่สามารถหยั่งรู้ได้ แต่ก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่ป้าดา แต่คือหมอผี
เธอรู้สึกเป็นกังวล แต่จากนั้นใครล่ะจะไม่อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้

Конец ознакомительного фрагмента.
Текст предоставлен ООО «ЛитРес».
Прочитайте эту книгу целиком, купив полную легальную версию (https://www.litres.ru/pages/biblio_book/?art=65971538) на ЛитРес.
Безопасно оплатить книгу можно банковской картой Visa, MasterCard, Maestro, со счета мобильного телефона, с платежного терминала, в салоне МТС или Связной, через PayPal, WebMoney, Яндекс.Деньги, QIWI Кошелек, бонусными картами или другим удобным Вам способом.
ศาสตร์ต้องห้าม Owen Jones
ศาสตร์ต้องห้าม

Owen Jones

Тип: электронная книга

Жанр: Современная зарубежная литература

Язык: на тайском языке

Издательство: TEKTIME S.R.L.S. UNIPERSONALE

Дата публикации: 16.04.2024

Отзывы: Пока нет Добавить отзыв

О книге: เฮง ลี เริ่มรู้สึกแปลก ๆ สำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นเอง เขาจึงได้ไปหารือกับหมอผีในพื้นที่ ซึ่งก็คือป้าของเขานั่นเอง เธอทำการทดสอบสองสามครั้ง และพิจารณาแล้วว่าเฮงไม่มีเลือด แต่เขาก็ไม่รู้จะบอกกับครอบครัวว่ายังไงดี และพวกเขาจะทำยังไงกันต่อไป

  • Добавить отзыв